เกริ่นนำ

ช่วงต้นปี 2021 อนิเมะ Yurucamp Season 2 และ Super Cub ฉาย ทำให้เราอยากขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวตามรอย ตั้งแคมป์ รับลมชมวิวแบบสโลว์ไลฟ์อย่างในเรื่องบ้าง เลยไปทำใบขับขี่ และซื้อมอเตอร์ไซค์ Tricity 155 มาตอนเดือนมิถุนายน แต่หลังจากขี่ตามรอยจนครบ ทำสิ่งที่อยากทำหมดแล้ว ก็รู้สึกหมดเสน่ห์ขึ้นมาทันที เราเลยขายมอเตอร์ไซค์ทิ้งไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน โพสต์นี้จะมาเล่าประสบการณ์การขี่มอเตอร์ไซค์ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาสี่เดือน และเล่าข้อดีข้อเสียให้ฟังกันครับ

Tricity 155 ตอนซื้อมาใหม่ๆ

ค่าใช้จ่ายในการซื้อมอเตอร์ไซค์

ก่อนอื่น จะขี่มอเตอร์ไซค์ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ขอเปิดเผยให้หมด ณ​ ตรงนี้เลยละกัน

Initial cost

ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นครั้งเดียว

  1. ค่าทำใบขับขี่ ประมาณ 100,000 เยน เข้าค่ายทำใบขับขี่ 9 วันช่วง Golden Week เรียนที่ マツキドライビングスクール赤湯校
  2. ค่ามอเตอร์ไซค์ Tricity 155 เฉพาะค่าตัวรถกับค่าใช้จ่ายตอนซื้อ ประมาณ 500,000 เยน
  3. ค่าอุปกรณ์เสริม - ETC (ระบบจ่ายค่าทางด่วนไร้สาย), Career+Box, High Screen กันลม, ค่าแรงในการติดตั้ง, ที่เมาท์สมาร์ทโฟน, หมวกกันน็อกสองใบ, แจ็คเก็ต, knees protector, รองเท้าหุ้มข้อ ฯลฯ ประมาณ 140,000 เยน

รวมประมาณ 740,000 เยน

Running cost

ค่าใช้จ่ายรายปี มีดังนี้

  1. ค่าประกัน รวมประกันบังคับและประกันเสริม ประมาณ 30,000 เยนต่อปี
  2. ค่าที่จอดที่แมนชั่น เดือนละ 2,200 เยน รวม 26,400 เยนต่อปี
  3. ค่าตรวจสภาพและเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ครั้งละ 8,000 เยน สองครั้งต่อปี = 16,000 เยน
  4. ค่าน้ำมัน/ค่าทางด่วน ตามการวิ่งจริง ตลอดอายุการใช้งาน 4,000 กิโลเมตร เราจ่ายไปประมาณ 40,000 เยน (ทางด่วน 25,000 เยน น้ำมัน 15,000 เยน)

รวมประมาณ 112,400 เยนต่อปี (ถึงไม่ขับเลยก็ต้องจ่าย 72,400 เยนต่อปี)

Resale value

Tricity 155 อายุใช้งานสี่เดือน วิ่งไป 4,000 กิโลเมตร มีออพชั่นครบครัน ขายออกไปในราคา 273,000 เยน

ขาดทุนยับเยิน ซึ่งก็ไม่แปลกใจมากนัก ราคาขายมือสองในตลาดอยู่ที่ประมาณ 400,000 เยน ร้านรับซื้อก็ต้องซื้อในราคา 60-70% ของราคาขาย จึงออกมาเป็นดังนี้ ถ้าขายตรงได้คงขาดทุนน้อยกว่านี้ แต่เราไม่มีความชำนาญในเรื่องยานยนต์ ไม่อยากเจอปัญหา เลยขายให้รับร้านรับซื้อไปดีกว่า

ข้อดี

มาเล่าข้อดีกันก่อนดีกว่า เปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยรถสาธารณะหรือจักรยาน

1. มีอิสระในการเที่ยวมากขึ้น

นี่คือเหตุผลหลักในการซื้อมอเตอร์ไซค์ หลังซื้อเราก็ได้ไปเที่ยวตามรอย Yurucamp อย่างสมใจ นึกอยากไปวันไหนก็ไปได้ (ถ้าอากาศดี) ไม่ว่าจะเป็น Izu, Minobu หรือทริปยาวหกวัน ถ้าไม่มียานพาหนะของตัวเองคงออกไปเที่ยวบ่อยๆ ไม่ได้ขนาดนี้ คงไม่สามารถแบกอุปกรณ์แคมป์มากมายไปตั้งแคมป์ตามที่ฝันไว้ได้

Fumotoppara Camp ตั้งแคมป์ครั้งแรกในญี่ปุ่น สัมภาระเยอะก็ไม่หวั่น

เส้นทางที่ตราตรึงใจสุดคือเส้นทางขี่ไปทะเลสาบ Yamanakako ผ่านถนนตัดภูเขา Doushi-michi เป็นถนนที่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก รถยนต์กลายเป็นส่วนน้อย (ปกติมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนน้อยของถนนญี่ปุ่น) มีครั้งหนึ่งได้ขับตามขบวนมอเตอร์ไซค์ประมาณ 10 คันติด ให้ความรู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งในกองทัพนักผจญภัยผู้ขับผ่านสายลมไปสู่เป้าหมายปลายทางเลย 555

วันไหนอากาศดี การได้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกรับลมบนถนนที่เปิดโล่ง มองเห็นท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ก็เป็นความสุขสุดๆ ที่หาคำมาพรรณนาไม่ถูกเลย

2. เดินทางไปได้ทุกที่ที่รถยนต์ไปได้

มอเตอร์ไซค์เครื่อง 155cc ในญี่ปุ่นสามารถวิ่งได้เหมือนรถยนต์ทุกประการ ไม่โดนจำกัดความเร็ว 30 กิโล เหมือน gentsuki (มอเตอร์ไซค์เครื่อง 50cc) และขึ้นทางด่วนได้เหมือนรถยนต์ วิ่งที่ความเร็ว 100 กิโลได้เท่ากัน จึงใช้เดินทางไปได้ทุกที่จริงๆ

Omaezaki จุดใต้สุดของจังหวัด Shizuoka ไม่มีบัสวิ่งผ่าน

ถึงญี่ปุ่นจะมีรถไฟและรถบัสวิ่งครอบคลุมสถานที่ต่างๆ แต่ก็ยังมีที่ท่องเที่ยวที่เดินทางไปได้ยาก พอมีรถเป็นของตัวเองก็วางแผนด้วยตัวเองได้ เดินทางไปได้ทุกที่ เห็นประโยชน์มากที่สุดตอนเที่ยวเมือง Minobu เพราะเป็นเมืองที่บ้านนอกมาก รถไฟมาชั่วโมงละคัน บัสแทบไม่มี จะตามรอยเมืองนี้ให้สะดวกต้องมีรถเป็นของตัวเองจริงๆ

3. หลีกเลี่ยงความแออัดในรถสาธารณธะได้

Covid-19 ทำให้การขึ้นรถสาธารณะเป็นเรื่องน่ากลัว พอขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นัก อยู่บนถนนคนเดียว ไม่เจอความแออัด ไม่ต้องกลัวคนข้างๆ ไอใส่

ผลพลอยได้ของการขับรถคนเดียวก็คือ สามารถตั้งกล้อง Action camera ถ่ายฟุตเทจตอนขับได้ตลอดทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากหากขึ้นรถสาธารณะ จะให้ยืนข้างหน้าบัสตลอดก็ยังไงๆ อยู่เนอะ

Venus Line จังหวัด Nagano

ข้อเสีย

เล่าข้อดีแล้ว มาสาธยายข้อเสียต่อ

1. แพง

นี่คือประเด็นสำคัญ Running cost ของมอเตอร์ไซค์สูงมากเมื่อเทียบกับการเที่ยวด้วยรถสาธารณะ ต่อให้ไม่ขับเลยก็ต้องเสียเงินไม่ต่ำกว่า 70,000 เยนต่อปี เป็นเงินที่หายไปโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา

ตัวค่าเดินทางเองก็แทบไม่ต่างกับการขึ้นรถไฟไป เพราะค่าทางด่วนที่ญี่ปุ่นแพงมาก รวมค่าน้ำมันแล้ว ซื้อตั๋วรถไฟนั่งไปก็ไม่ต่างกัน ถ้าขึ้นรถบัสก็ถูกกว่าอีก

ตัวอย่างค่าเดินทางจากเมือง Machida ของเรา ไปทะเลสาบ Kawaguchiko

  • มอเตอร์ไซค์ ทางด่วน 1,860 เยน ค่าน้ำมันราว 3 ลิตร 450 เยน = 2,310 เยน
  • บัส 1,850 เยน
  • รถไฟธรรมดา 2,300 เยน
  • รถไฟด่วน 3,700 เยน

จะเห็นได้ว่าค่าเดินทางระหว่างเมือง มอเตอร์ไซค์ไม่ถูกเลย จะถูกกว่าได้ก็ต่อเมื่อไม่ใช้ทางด่วน แต่ถ้าไม่ใช้ทางด่วน ก็เสียเวลาเพิ่มขึ้นสองเท่า ไม่คุ้มกับค่าเวลาชีวิต

ส่วนค่าเดินทางในเมืองท่องเที่ยว ขี่มอเตอร์ไซค์เองไม่ต้องเสียค่าบัสท้องถิ่นจริง แต่ก็เสียค่าที่จอดรถ ครั้งละ 200 เยนบ้าง 300 เยนบ้าง โดยรวมถูกกว่าค่าบัสท้องถิ่น แต่พอคิดถึงค่า fixed cost ที่ต้องจ่ายทุกปีแล้วก็แพงกว่าเยอะ

2. เหนื่อย

สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ที่คนชอบใช้รถยนต์ขับไปเช้าเย็นกลับจากโตเกียวก็อย่างเช่น Kawaguchiko, Hakone, Izu, Kisarazu ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการเดินทาง ต้องขับบนทางด่วนประมาณ 1 ชั่วโมง

การนั่งบนเบาะข้างนอก ไม่มีอะไรขวางกั้น ปะทะลมด้วยความเร็ว 100 กิโลเป็นเวลา 1 ชั่วโมงนั้น ไม่ต่างกับการยืนอยู่กลางพายุตัวเปล่า ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามาก ขาไปยังมีความสนุกที่ได้ขับเร็วๆ อยู่บ้าง แต่ขากลับคือไม่ไหวแล้ว อยากหลุดพ้นจากลมร้ายนี้ไวๆ เหลือเกิน

ถ้าเปรียบเทียบกับจักรยาน ขี่จักรยานเหนื่อยกว่า แต่ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรง ขี่เสร็จก็ไม่ต้องหาเวลาออกกำลังกายเพิ่ม แต่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกายซักนิด

3. เสียเวลา

ขี่มอเตอร์ไซค์ต้องเสียเวลาขับ ทำอะไรไม่ได้นอกจากฟังเพลง ซึ่งก็ไม่ค่อยสุนทรีย์นักเพราะเจอเสียงลมเบียดแทรก ต่างกับรถสาธารณะที่จะงีบหลับก็ได้ จะอ่านหนังสือก็ได้ หรือถ้าเป็นรถไฟด่วนนั่งชิวๆ จะหยิบคอมมาทำงานก็ยังได้

4. ต้องกังวลกับสภาพอากาศ

เราซื้อมอเตอร์ไซค์มาสิ้นเดือนมิถุนายน พอเข้าเดือนกรกฎาคม ก็เป็นฤดูฝน ฝนตกแทบทุกวันเสาร์อาทิตย์ ไปเที่ยวไหนไม่ได้เลย บางวัน ตอนเช้าอากาศดี ตอนเย็นฝนตก​ ก็ต้องหยิบเสื้อกันฝนใส่ กลับมาบ้านเปียกๆ ไม่สนุกอีก

เดี๋ยวเข้าหน้าหนาวก็ต้องเจอลมหนาว ไม่อยากคิดว่าจะหนาวขนาดไหน…

5. ไม่สามารถอิ่มเอมกับวิวได้

เราขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อเอ็นจอยวิวบนถนนเลียบป่าฝ่าดอย แต่เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ต้องขับบนถนนรถยนต์ ความเร็วเท่ารถยนต์ ทำให้ขับช้าๆ ไม่ได้ ต้องขับตามรถบนถนน เลยไม่สามารถบิดเครื่องช้าๆ กินลมชมวิวได้ ต่างกับจักรยานที่ยังไงๆ รถก็ขับแซง ปั่นเรื่อยๆ เอื่อยๆ ได้

6. รถติด

Machida เป็นเมืองที่อยู่ขอบโตเกียว เป็นสังคมเมืองที่คนใช้รถยนต์ส่วนตัวเยอะ ทำให้รถติดบ่อยมาก ไฟแดงก็เยอะ กว่าจะขี่หลุดพ้นไปขึ้นทางด่วน (8 กิโล) ได้ ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ทำให้อารมณ์ท่องเที่ยวลัลล้าหายไปหมดทุกครั้งที่ขับไปกลับ

รถติดที่สถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่แพ้กัน ตัวอย่าง Hakone วันก่อนนั่งรถไฟไป มองจากข้างบนเห็นรถติดยาวบนถนนรอเข้าที่จอดรถ Owakudani น่าจะต้องรอกันไม่ต่ำกว่า 30 นาทีแน่ๆ มอเตอร์ไซค์ยังพอซิกแซกแซงไปได้ แต่ก็ทำให้เสียเวลาไม่ใช่น้อย (เห็นแล้วล้มเลิกความคิดขับรถยนต์เลย)

อนึ่ง เคยลองออกจากบ้านตีสามครึ่ง 10 นาทีก็ถึงทางขึ้นทางด่วนแล้ว แต่จะให้ตื่นอย่างนั้นทุกครั้งก็ไม่ไหวนะ…

7. ความเสี่ยงสูง

พอขับรถเอง ก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ถึงจะเลือกใช้ Tricity 155 ที่มีสองล้อหน้า ไม่ล้มง่ายๆ เบรกดีก็เถอะ เท่าที่ขี่มาก็เคยรู้สึกเสียวกลัวตายอยู่สองสามครั้ง ตอนที่อยู่ๆ รถคันหน้าก็เหยียบเบรก ต้องเบรกตามแบบกะทันหัน กับตอนที่เลี้ยวซ้ายบนโค้งทางลงเขาโดยที่ไม่ได้ชะลอความเร็วมากพอ ทำให้หลุดไปเลนสวน ถ้ามีรถขับมาพอดีคือชนแน่ๆ…

8. ใช้ในเมืองไม่ได้

เราอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มอเตอร์ไซค์ไม่มีประโยชน์ในเมืองเลย จะไปซูเปอร์ก็ขี่จักรยาน 5 นาทีถึง ไม่ต้องสวมหมวกกันน็อก จอดตรงไหนก็ได้ ไปสถานีก็ใช้จักรยาน 7 นาทีถึง มีที่จอดให้วันละ 100 เยน ถ้าใช้มอเตอร์ไซค์ หน้าสถานีไม่มีที่จอด แถมรถก็ติดมาก ถึงช้ากว่าเยอะ คือเพิ่งรู้ว่าญี่ปุ่นไม่ค่อยมีที่จอดมอเตอร์ไซค์ใหญ่ (> 50cc) ให้ก็ตอนนี้นี่แหละ

สรุป

ด้วยข้อเสียที่เล่ามา ประกอบกับความจริงที่ว่าเราขับตามรอยที่ท่องเที่ยว Yurucamp เกือบหมด ไม่มีสถานที่ที่อยากถ่อขับรถไปเองเพื่อเที่ยวอีก เราจึงตัดสินใจขายมอเตอร์ไซค์นี้ทิ้ง ไม่ปล่อยให้มันเกาะกินเงินของเราอีกต่อไป สิริยอดค่าใช้จ่ายโปรเจ็กต์นี้ รวมมากกว่า 500,000 เยน… เป็นการซื้อความลำบาก ซื้อประสบการณ์ที่แพงมาก

แต่ถามว่าเสียใจไหม ก็ไม่ การขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวครั้งแรกๆ ทำให้ใจเราพองโต เบิกบาน ตื่นเต้นเพราะได้งานอดิเรกใหม่ ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้มาน่าจะเป็นปีแล้ว รู้สึกเหมือนหัวใจกลับเป็นเด็กได้อีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้มีหน้าที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ทำงานหาเงินกินข้าวเข้านอน ทำให้รู้สึกว่าการตามหาสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้หัวใจสนุกสนานนี่แหละ คือการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ที่แท้จริง

ภูเขาไฟฟูจิกับอ่าว Suruga วิวจากป้ายบัส Nagaisaki Junior High School

สรุป การซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่เที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ สอนให้เรารู้คุณค่าชีวิตมากขึ้น อะไรที่อยากทำและพอทำได้ ก็รีบๆ ทำก่อนที่สังขารและ passion จะดับหายไป ทำแล้วไม่ชอบก็รีบๆ เลิก ไม่ยึดติดกับมัน เพื่อชีวิตที่อิสระและมีความสุขยิ่งกว่าวันวาน ว่าแล้วก็หางานอดิเรกถัดไปดีกว่า ขอแบบที่ไม่ใช้เงินเยอะนัก ทำอะไรดี…?