VTuber (วีทูปเบอร์) เป็น Genre คอนเทนต์ที่เกิดเมื่อปี 2016 เริ่มจาก Kizuna Ai และเป็นกระแสที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2017 จากการมาของค่าย hololive และ NIJISANJI ส่วนในไทยก็เริ่มดังตั้งแต่ปี 2021 จากการเดบิวต์ค่าย Polygon Project, Pixela Project, Algorhythm Project ฯลฯ
จุดเด่นอย่างหนึ่งของวงการนี้คือเป็นการผสมระหว่าง Art และ Engineering ทำให้เกิดงานใหม่ๆ ขึ้นมาเพียบ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นต้นกำเนิด ผมในฐานะของคนที่ทำงานในแวดวงนี้มาครบปี ก็เลยขอถือโอกาสลองสรุปภาพรวมของอุตสาหกรรม และอธิบายงานของ Software Engineer ในอุตสาหกรรม VTuber ดูในบทความนี้ เพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์ของคนทำงานสาย IT ที่ชอบวีทูปเบอร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่นครับ
VTuber เดิมทีมาจาก Virtual YouTuber ก็คือสตรีมเมอร์บนแพลตฟอร์ม YouTube ที่ใช้อวาตาร์ไลฟ์ ไม่เผยหน้าตัวเอง แต่ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มสตรีมอื่นมากมาย จะให้เรียกว่า Virtual Streamer ก็ยาวไปหน่อย ในบทความนี้จะขอเหมารวมเรียกสตรีมเมอร์ที่ใช้อวาตาร์ไลฟ์สดว่า VTuber โดยไม่จำกัดแพลตฟอร์มที่ไลฟ์ครับ
Software Engineer เป็นงานตำแหน่งหนึ่งในวงการ IT ตำแหน่งงานที่ผมจะยกตัวอย่างมานำเสนอในบทความนี้ขอจำกัดอยู่แค่สองกลุ่มคือ
กล่าวคือเป็นงานที่ต้องใช้สกิล Programming เป็นหลัก จะคล้ายๆ กับที่เขียนในบทความแนะนำตลาดแรงงาน IT ในญี่ปุ่นครับ
พูดถึง VTuber ญี่ปุ่น ชื่อค่าย hololive และ NIJISANJI ก็คงโผล่มาเป็นอันดับต้นๆ ค่ายเหล่านี้ถือว่าเป็น VTuber Production ทำหน้าที่ดูแลและโปรโมต Talent ในสังกัดของตัวเอง ซึ่ง Production เหล่านี้คือมีเยอะมากกกก ตามภาพ ณ เดือนเมษายน 2023 ข้างล่างนี้
VTuber Chaos Map (อ้างอิง)
คอนเทนต์หลักจะเป็นคลิปวิดีโอไลฟ์สดบน Streaming Platform ทั่วไป (YouTube, Twitch ฯลฯ) ส่วนค่ายใหญ่ๆ มีทุนก็จะมีการจัดอีเวนต์ ขาย merchandise จัดคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง ก็น่าจะเป็นอิมเมจของ VTuber ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกัน
อีกหนึ่งภาพที่จะแนะนำคือภาพรวมของ VLiver Production บริษัทที่ทำหน้าที่ปั้น Talent เหมือนกัน แต่แพลตฟอร์มที่ใช้ไลฟ์จะเป็นแพลตฟอร์มเพื่อ Avatar Live Streaming โดยเฉพาะ ไม่มีคอนเทนต์อื่นที่ไม่ใช่อวาตาร์มาปะปน
V-Liver Chaos Map (อ้างอิง)
ในสองภาพนี้ ชื่อค่ายในกรอบคือ Production ซึ่งเป็นผู้ผลิต Content ส่วนป้ายแท็กเหนือกรอบคือ Platform ที่ Production นำคอนเทนต์ไปลง แพลตฟอร์มที่เน้นชูโรง Avatar Live Streaming เป็นหลักในญี่ปุ่นมีเพียงสองเจ้าใหญ่คือ IRIAM ที่มีจุดขายเป็นอวาตาร์ 2D สร้างจากรูปวาดของตัวเองโดยอิสระ และ REALITY ที่มีจุดขายเป็นอวาตาร์ 3D สไตล์อนิเมะที่ customize ได้หลากหลาย
ในฝั่ง Production งานเทคนิคเบื้องหลังหลักๆ จะอยู่ที่ฝ่าย Art และ Graphic/Technical Engineer ไม่ว่าจะเป็น 2D หรือ 3D จะไม่ค่อยจำเป็นต้องใช้ Software Engineer ฝั่ง Platform ต่างหาก ที่ Software Engineer จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญมาก เพราะฉะนั้น ในบทความนี้ผมจะพูดถึงงานฝั่ง Platform เท่านั้นครับ
อธิบายภาพรวมวงการแล้ว ก็ถึงเวลาแนะนำบริษัทและตำแหน่งงานกัน เริ่มจากฝั่ง Production ที่คนตามวีทูปเบอร์น่าจะคุ้นเคยกันก่อน
COVER Corp. เจ้าของค่าย hololive ที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นไปเมื่อวันที่ 27/3/2023 ธุรกิจ VTuber คงไม่ต้องอธิบายมาก ปั้น VTuber ญี่ปุ่น อังกฤษ อินโดนีเซีย จับตลาดทั่วโลก จัดคอนเสิร์ตที่อเมริกาอลังการงานสร้างสุดๆ
hololive business (อ้างอิง)
ตำแหน่งงาน Software Engineer จะเป็นงานทำระบบ In-house ช่วยซัพพอร์ต VTuber ให้ไลฟ์ได้ราบรื่น ยกตัวอย่างเช่นแอป Motion Capture ที่เขียนเองในบริษัท ให้ VTuber ในสังกัดนำไปใช้แคปเจอร์หน้าตอนไลฟ์สด (มีพูดถึงใน Tech Blog นี้) หรือระบบจัดการแสดงไลฟ์ สร้างฉากสร้างเอฟเฟกต์เวลาแสดงคอนเสิร์ต ก็ทำขึ้นมาเองเช่นกัน ทำให้นักแสดงมีอิสระในการแสดงบนโลกเวอร์ชวลเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ COVER ยังเป็นบริษัทที่ลงทุนด้านเทคโนโลยีสูงมาก กิจการไม่ได้มีแค่ VTuber Production แต่มีทั้งการสร้าง HOLOEARTH 3D Metaverse Platform ของตัวเอง, holoplus แอปติดตามข่าวสาร VTuber ในสังกัด จึงมีการรับสมัครงานในฝั่ง Platform อยู่หลายตำแหน่ง
คลิปตัวอย่างไลฟ์ที่จัดบนแพลตฟอร์ม HOLOEARTH
ข้อมูลการรับสมัครงาน ดูได้ที่ https://cover-corp.com/recruit ตำแหน่งที่เปิดรับแบ่งเป็นหลักๆ ได้สามฝ่าย
1. hololive Studio ไม่มีตำแหน่ง Software Engineer เปิด แต่ก็เดาได้ว่าคงต้องการ Unity Engineer เพื่อเข้าไปทำระบบไลฟ์ In-house
2. HOLOEARTH รับสมัครตำแหน่ง
3. holoplus app รับสมัคร
COVER ลงทุนปั้น Platform ของตัวเองขนาดนี้ มีงานให้ Software Engineer เข้าไปทำเหลือเฟือแน่นอนครับ
ANYCOLOR Inc. เจ้าของค่าย NIJISANJI ค่าย VTuber ที่มีผู้ติดตามแชนแนลรวมเป็นอันดับหนึ่งของโลก เข้าตลาดหุ้นไปเมื่อวันที่ 8/6/2022
NIJISANJI Project (อ้างอิง)
แนวทางของ ANYCOLOR จะทุ่มไปที่การปั้น Talent ล้วนๆ ไม่ทำ Platform ของตัวเอง ซึ่งต่างกับ COVER เห็นได้จากข้อมูลการรับสมัครงานที่ https://www.anycolor.co.jp/recruit มีตำแหน่ง Software Engineer เพียงไม่กี่ตำแหน่งสำหรับงานสองฝ่าย
อย่างที่บอกว่า ANYCOLOR ไม่มี Platform เป็นของตัวเอง จึงเดาได้ว่าจำนวน Software Engineer ข้างในคงน้อย และความต้องการสกิลก็จะเป็นเชิง B2B ทำระบบหลังบ้านมากกว่า จะต่างจากบริษัทที่ทำ Online Service B2C ที่คนจำนวนมากเข้ามาใช้พร้อมๆ กัน
แนะนำบริษัทฝั่ง VTuber Production แล้ว ก็ต่อด้วยบริษัทฝั่งที่วางตัวเป็น VTuber Platform กัน งานฝั่ง Platform จะเป็นการผสม Online Service + Online Game เข้าด้วยกัน คือเน้นทั้งการเชื่อมต่อแบบ Real-time และเน้น Scalability ให้ User จำนวนมากเข้ามาพบปะกันได้ จะต่างจากงานฝั่ง Production ที่เน้น Technical ให้วีสามารถแสดงออกได้หลากหลายมากกว่าครับ
ขอเปิดด้วย REALITY Inc. บริษัทที่ตัวเองทำงานเป็น iOS Engineer ก่อนละกัน 555 (เคยเขียนแนะนำบ.แล้วที่บทความนี้)
แอปที่ให้บริการคือ REALITY - Become an Anime Avatar ให้ทุกคนเป็น VTuber ได้ด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว ครอบคลุมครบวงจรตั้งแต่การสร้างอวาตาร์สไตล์อนิเมะ, Face/Motion Tracking, Live Streaming
REALITY (อ้างอิง)
จุดเด่นของ REALITY ในฐานะ Platform คือความง่ายในการเริ่ม ผู้ไลฟ์ไม่ต้องวาดรูปเป็น ไม่ต้องมี PC ก็สามารถเริ่มไลฟ์เป็น VTuber ด้วยอวาตาร์คุณภาพสูงได้เลย (เอาไปต่อเข้า PC สตรีมอีกทีก็ได้ไม่ผิด) คนดูก็จะมีแต่คนที่สนใจ Avatar Live Streaming อยู่แล้ว มีโอกาสที่จะสนใจมากกว่าการไลฟ์บนยูทูบที่คนดูมีความสนใจกระจัดกระจาย เหมาะสำหรับการฝึกไลฟ์มาก และที่สำคัญคือเป็น Platform จากญี่ปุ่นที่เปิดให้บริการ 63 ประเทศรวมถึงประเทศไทย มีโอกาสให้พนักงานต่างชาติได้แสดงศักยภาพเยอะครับ
คลิปยูทูบแนะนำแอป REALITY
ข้อมูลการรับสมัครงาน ดูได้ที่ https://reality.inc/jobs/ แต่ ณ สิงหาคม 2023 นี้เป็นช่วง restructure บริษัท เลยปิดรับ Software Engineer เพิ่มชั่วคราว ตำแหน่งงานที่เคยเปิดรับหลักๆ ก็มีตามนี้
REALITY เป็นแอป Native ที่ใช้ Unity as a Library (UaaL) เป็น Framework อยู่ข้างใน เลยต้องการ Engineer ฝั่ง Client รวมสามประเภท รายละเอียด Tech ที่ใช้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Engineering Blog
อนึ่ง บริษัท REALITY มีบริษัทลูก REALITY Studios ที่ทำหน้าที่เป็น Production ปั้น VTuber ที่สตรีมบน YouTube เหมือนที่อื่น อันนั้นถือเป็นอีกบริษัท อีกสายงาน ไม่ต้องการ Software Engineer เท่าไรครับ
IRIAM แอป VTuber Live Streaming Platform คู่แข่งหลักของ REALITY ในญี่ปุ่น จุดเด่นคือแค่อัปโหลดรูปวาด ระบบก็จะ detect ตาและปาก ทำให้ขยับได้ทันทีโดยไม่ต้องทำ Rigging ใดๆ ทำให้เป็นที่นิยมเพราะสามารถสร้างอวาตาร์ 2D ที่อิสระ ตามลายเส้นของตัวเองได้ง่ายๆ ปัจจุบันสามารถใช้ Live2D มาทำอวาตาร์ได้ด้วย
IRIAM (อ้างอิง)
คลิปยูทูบแนะนำแอป IRIAM
ข้อมูลการรับสมัครงาน ดูได้ที่ https://iriam.notion.site/IRIAM-9f687e1926e84004826700e039d65675 สำหรับตำแหน่ง Engineer หลักๆ จะมีสองประเภทคือ
แอป IRIAM เขียนด้วย Unity ทั้งหมด เลยไม่มีการเปิดรับ iOS/Android Engineer แอปให้บริการเฉพาะในญี่ปุ่นครับ
Mirrativ แอป Live Game Streaming Platform ที่มีจุดเด่นคือการไลฟ์สตรีมหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ ทำให้สามารถไลฟ์เล่นเกมมือถือสดได้เลย และก็มีอวาตาร์ 3D ให้สร้างได้เช่นกัน แต่คอนเทนต์หลักจะอยู่ที่การสตรีมเกมมากกว่า อวาตาร์เป็นคอนเทนต์รอง
Mirrativ (อ้างอิง)
ข้อมูลการรับสมัครงาน ดูได้ที่ https://mirrativ.co.jp/recruit/
แอป Mirrativ ใช้ Unity as a Library เช่นเดียวกับ REALITY ตำแหน่งที่เปิดรับก็จะคล้ายๆ กันครับ
トピア (topia) Live Karaoke Platform มีจุดเด่นคือฟังก์ชั่นคาราโอเกะที่โคกับ JOYSOUND เลือกเพลงมาร้องสดได้เลย มีเนื้อร้องขึ้นให้ร้องตามได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ (เฉพาะในญี่ปุ่น) เหมาะสำหรับคนที่อยากฝึกเป็น Virtual Singer ส่วนอวาตาร์ก็มีให้เลือกเล่นเช่นกัน
topia (อ้างอิง)
ข้อมูลการรับสมัครงาน ดูได้ที่ https://unbereal.co.jp/career/ ปัจจุบันไม่มีตำแหน่งเปิดรับ แต่เท่าที่ดูฝั่ง Client ใช้ Unity เท่านั้น คงจะรับสมัคร Unity Engineer, Server Engineer เป็นหลักครับ
สำหรับคนที่สนใจหางานตำแหน่ง Software Engineer ในญี่ปุ่นในบริษัทที่ยกตัวอย่างมา ก็ขอแนะนำดังนี้ครับ
ก็จบเพียงเท่านี้สำหรับบทความแนะนำตำแหน่งงานในอุตสาหกรรม VTuber ญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่ามี VTuber Platform ที่หลากหลาย มีงานให้ Software Engineer เข้าไปทำเยอะ ซึ่งจะต่างกับที่ไทยซึ่งมีแต่ฝั่ง Production ไม่มีที่ให้เข้าไปแทรกครับ (รู้ชัดตอนทำแชนแนล Arisa ไม่ต้องเขียนโค้ดซักบรรทัด)
อนึ่ง แต่ละบริษัทก็มีจุดขายโปรดักส์ตัวเองต่างกัน ก่อนสมัครก็แนะนำให้ไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม หาข้อดีข้อเสียเทียบกันเยอะๆ ครับ แต่ ณ ปัจจุบัน Platform ที่มีคนไทยใช้เยอะก็มีแค่ REALITY เท่านั้น ใครอยากเป็น candidate ก็ส่ง DM ผ่าน Twitter มาได้ครับ พร้อมคุย 555
สุดท้าย จะขอแนะนำภาพรวมอุตสาหกรรม Metaverse ซักหน่อย เพราะมีความเกี่ยวข้องกับ VTuber มาก ทุกที่ต้องสร้างโลก 3D ขึ้นมาเหมือนกับที่ VTuber Production สร้างเวที 3D มาใช้แสดง ดังนั้นเทคโนโลยีที่ใช้ก็จะเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด มีโอกาสจับมือทำงานด้วยกันสูง อุตสาหกรรมนี้มีตำแหน่งงาน Software Engineer เยอะมาก ถ้าสนใจก็ลองไปส่อง cluster, HIKKY, Synamon, STYLY, VARK, XR World, VRoid ดูได้ครับ 😄
Metaverse Chaos Map (อ้างอิง)
]]>นี่เป็นงานแรกในชีวิตงาน Software Engineer ที่ญี่ปุ่นเกือบ 10 ปีของผม ที่ได้ทำเซอร์วิสออนไลน์ที่มีคนไทยใช้เยอะขนาดนี้ (ยูเซอร์ไทยรายวันมากกว่าหนึ่งหมื่นคน) เลยคิดว่าน่าจะมีคนที่สนใจว่า REALITY นี่ทำธุรกิจอะไรบ้าง จึงขอถือโอกาสอธิบายบริษัทแบบกว้างๆ ด้วยบทความนี้ครับ
REALITY เป็นแอพ Live Streaming ที่มีจุดขายคือสามารถไลฟ์โดยไม่ต้องเปิดเผยหน้าตัวเอง ผ่านอวาตาร์น่ารักสไตล์อนิเมะญี่ปุ่น ส่วนคนดูก็สามารถพูดคุยกับไลฟ์สตรีมเมอร์ได้แบบเรียลไทม์ แต่ที่จริงบริษัทนิยามตัวเองว่าเป็น Metaverse Platform ที่มีผู้ใช้จำนวนมาก และมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นแพลตฟอร์มอันดับต้นๆ ของโลกได้ ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดมากกว่า 10 ล้านครั้ง
REALITY -Become an Anime Avatar- คลิปแนะนำแอพอย่างรวบรัด
REALITY เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้จากทั่วโลก ปัจจุบันแอพซัพพอร์ต 12 ภาษา มีสัดส่วนผู้ใช้นอกญี่ปุ่นประมาณ 80% ถือเป็นหนึ่งในเซอร์วิสไม่กี่อย่างที่กำเนิดจากญี่ปุ่นและมีผู้ใช้จากต่างประเทศมากกว่าผู้ใช้ในประเทศญี่ปุ่นเอง
なりたい自分で、生きていく (Naritai jibun de ikite iku) เป็นตัวเองที่อยากเป็น
วิสัยทัศน์สั้นๆ แต่แสดงออกถึงเป้าหมายของทุกสิ่งที่บริษัททำ… REALITY อยากช่วยให้คนทุกคนสามารถเป็นตัวเองที่อยากเป็น โดยไม่ต้องถูกผูกมัดกับกายภาพที่ตัวเองเกิดมา
วิสัยทัศน์นี้สะท้อนออกมาสู่ Product ที่มีอวาตาร์เป็นศูนย์กลาง ให้ทุกคนมีตัวตนที่ตัวเองอยากเป็นในอีกโลกหนึ่ง ให้ใช้ชีวิตอีกชีวิตบนโลกใบนั้นได้ คนที่อยากไลฟ์ก็ไลฟ์ สร้างฐานผู้ชม หาเพื่อนคอลแล็บ ร่วมอีเวนต์ แลกของขวัญเป็นเงินจริงเพื่อใช้ชีวิตจริงได้, คนที่ไม่อยากไลฟ์แต่อยากใช้ชีวิตไปกับอวาตาร์แทนตัวเอง ก็เปิด World/Game ขึ้นมาเล่นกับเพื่อนได้ เวลาอยู่ข้างนอกก็สามารถแชตคุยกับเพื่อน ส่งสติกเกอร์รูปอวาตาร์ของตัวเองเพื่อเพิ่มสีสันการคุยได้ เป็นต้น
Avatar Sticker ฟีเจอร์แชตที่ยูเซอร์ชอบกันมาก
อนึ่ง เนื่องจากมีคนอยากใช้อวาตาร์ REALITY บนยูทูปหรือแพลตฟอร์มอื่นเป็นจำนวนมาก เลยมีผู้สอบถามมาเยอะว่าใช้ได้ไหม คำตอบคือใช้ได้หากไม่ใช่ในเชิงพาณิชย์ครับ อ่านเงื่อนไขรายละเอียดได้ที่ Secondary Use Guideline
REALITY เป็นบริษัทลูกของ GREE, Inc. บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจ Game & Entertainment หลากหลาย REALITY จัดเป็นธุรกิจ Metaverse Division ของบริษัทนี้
ธุรกิจหลักของบริษัท REALITY มีสามอย่างดังนี้
ธุรกิจ B2C (Business to Consumer) ทำแอพ REALITY ที่ทุกคนใช้เพื่อรับชมไลฟ์และเป็น VTuber กันได้อย่างง่ายๆ ผมทำงานเป็น iOS Engineer อยู่ในภาคธุรกิจนี้ เป็นทีมที่ต้องใช้ Software Engineer หลากหลายสาขาเพื่อดำเนินงานขับเคลื่อนแพลตฟอร์มให้เสถียร ไม่เกิดบั๊กร้ายแรง
ตัวอย่างโฆษณาทีวีเดือนก.พ. 2023
รายได้หลักของแพลตฟอร์ม มาจากยูเซอร์ที่ซื้อเหรียญเพื่อสุ่มกาชาหาชุดน่ารักๆ เท่ๆ ใส่ให้อวาตาร์ของตัวเอง (ออกใหม่ทุกเดือน) และจากยูเซอร์ที่ซื้อของขวัญส่งให้กับสตรีมเมอร์ ของขวัญที่ได้รับจะถูกแปลงเป็นคะแนนอีเวนต์ สตรีมเมอร์ที่ไลฟ์บ่อยๆ ได้ของขวัญเยอะ ก็มีสิทธิ์ได้รางวัลจากอีเวนต์มากมาย
ฟีเจอร์หลักของแอพ REALITY: World, Communication, Avatar, Live Streaming, Game
ตัวอย่างกาชาเดือนก.พ. 2023 คอลแล็บกับอนิเมะ Tokyo Revengers
ตัวอย่างของอีเวนต์ ปัจจุบัน (ก.พ. 2023) อีเวนต์นอกญี่ปุ่นจะเป็น Digital Event แทบทั้งหมด คือแจกเหรียญ แจก badge แจกกรอบรูปสตรีม ฯลฯ แต่ถ้าเป็นในญี่ปุ่นจะมีการคอลแล็บกับสถานที่จริงเรื่อยๆ แทบทุกสัปดาห์ อาทิ อีเวนต์โปสเตอร์สถานีนาโกย่า, อีเวนต์โชว์คลิปแนะนำตัวที่จอสถานีชินจุกุ, อีเวนต์ Virtual Staff ที่ร้านเนื้อย่าง Yakiniku Watami ซึ่งสำหรับคนทั่วไป การได้เห็นอวาตาร์ของตัวเองในที่สาธารณะแบบนี้เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ เลย ทำให้คนร่วมอีเวนต์และคนส่งของขวัญในญี่ปุ่นเยอะกว่าประเทศอื่นมาก
ตัวอย่างอีเวนต์ที่ญี่ปุ่น คอลแล็บกับ Yakiniku Watami ตั้งป้ายให้ผู้ชนะอีเวนต์
ธุรกิจ B2B (Business to Business) รับจ้างทำแอพให้กับบริษัทอื่น และรับทำ Collaboration World ในแอพ REALITY ตัวอย่างเช่น TOKYO DOME World ก็เป็น World ที่บริษัท Mitsui Fudosan จ้างให้ทำเพื่อเป็นการโปรโมตแบรนด์ในโลก 3D ของ REALITY
TOKYO DOME WORLD เวิร์ลด์คอลแลปที่เปิดให้เล่นกันฟรีๆ มี gimmick บินได้ ร้องเพลงบนเวทีได้
ธุรกิจ VTuber Production ที่ทำหน้าที่บริหารและโปรโมต VTuber ในสังกัด ใช้ชื่อ REALITY ก็จริง แต่ตัวสตูดิโอเป็นระบบแยกที่ไม่เกี่ยวกัน มีชุดโมชั่นแคปเจอร์ ทีม 3D Artist จัดการแสดง พร้อมเวที 3D อลังการมากมาย เทคโนโลยีที่ใช้คือไม่แพ้เจ้าอื่นในวงการแน่นอน
VTuber ในสังกัดหลักๆ คือ
ธุรกิจนี้มีแผนที่จะเพิ่มจำนวน VTuber ในสังกัด ขยายคอนเทนต์ให้มากขึ้นในไม่ช้า
HACHI 2nd ONE-MAN LIVE 「Midnight blue」 Digest Video
อนึ่ง อีเวนต์ในแอพ REALITY บางอีเวนต์จะให้ผู้ชนะมาโพสท่าที่ตัวเองต้องการอัดลงคลิปโฆษณา ก็ใช้ Facility ของ REALITY STUDIO นี่แหละในการบันทึก Motion Capture เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ส่งเสริมธุรกิจหลักได้เป็นอย่างดี
นอกจากธุรกิจหลัก 3 อย่างดังที่กล่าวไป REALITY ยังมีแผนกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น
REALITY เปิดให้บริการครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 2018 และเริ่มเปิดให้บริการต่างประเทศช่วงปลายปี 2020 โดยเริ่มจากไทยเป็นที่แรก ปัจจุบันแอพรองรับการแสดงผลใน 12 ภาษา ใช้บริการได้จาก 63 ประเทศ ยูเซอร์นอกประเทศญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80%
แต่ปัญหาปัจจุบันก็คือ บริษัทยังไม่มีทีมซัพพอร์ตต่างประเทศแบบจริงจัง การแปลภาษาก็ยังไม่ราบลื่น เพราะไม่มีทรัพยากรบุคคลเพียงพอ (ณ ต้นปี 2023 มีพนักงานทั้งหมดไม่ถึง 200 คน)
ในปี 2023 นี้ บริษัทจะมุ่งเป้าจะทำตลาดนอกญี่ปุ่นจริงจัง ปรับปรุงการซัพพอร์ตต่างประเทศ, เพิ่ม Diversification, การทำ Localization, การจัดอีเวนต์ ฯลฯ ผมก็จะเป็นส่วนหนึ่งในนั้น หวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น รอชมกันนะครับ 😄
อนึ่ง ข้อมูลอัพเดตภาษาอังกฤษ สามารถติดตามได้จาก Twitter REALITY Official ครับ
Display Corner ที่ออฟฟิศ
อย่างที่เล่าไปว่าบริษัทกำลังมุ่งเป้าทำตลาดนอกญี่ปุ่นจริงจัง แต่เนื้อในบริษัทเป็นบริษัทญี่ปุ่น ยังขาดคนที่เข้าใจการทำธุรกิจต่างประเทศอีกเยอะ แถมสิ่งที่อยากทำก็มีเยอะมากกกกก จนคนไม่พอไปซะทุกอย่าง ดังนั้น ถ้าใครทำงานอยู่ญี่ปุ่นแล้วสนใจหางาน ก็ลองอ่านเอกสารแนะนำบริษัทโดยละเอียด และ ส่องดูตำแหน่งที่เปิดรับได้ที่นี่ครับ (Engineer ขาดคนมากสุด) สามารถติดต่อผมที่ @chuymaster เพื่อขอคำแนะนำตอนสมัครได้ หรือถ้าอยากมาดูออฟฟิศที่ทำงานก็ทักมาได้ครับ
โดยส่วนตัว หลังทำงานที่นี่ได้ 6 เดือน กล้าบอกได้เลยว่าวัฒนธรรมองค์กรที่นี่ดีมาก เป็นองค์กรญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ทำงานแบบไม่ต้องแคร์ความอาวุโสเท่าไร, ผู้คนอบอุ่นพร้อมจะให้อภัยกันและกัน มีความสามารถ มีไฟอยากทำสิ่งใหม่ๆ กัน เป็นบริษัทแรกในชีวิตการทำงานผมที่อยากจะตื่นเช้าไปทำงานทุกวันเลย แน่นอนว่าบริษัทก็มีปัญหาเยอะ แต่เป็นปัญหาที่แบกรับไหว พยายามหน่อยก็แก้ได้ ถ้าแก้ไม่ได้หัวหน้าก็จะช่วย (หรือบางทีก็ปลง ยอมรับปัญหาก็มี ฮ่าๆ) ไม่ต้องกังวลจนเกินไป
ตารางบริษัทสี่ประเภท… REALITY ในความเห็นผมคือประเภทที่ 4 เลย
อ้างอิงจากหนังสือ メタバース進化論 (Theory of Metaverse Evolution) คำจำกัดความของแพลตฟอร์ม Metaverse คือแพลตฟอร์มที่มีความสามารถดังนี้
ใน 7 ข้อนี้ ตัวแพลตฟอร์ม REALITY ผ่านเกณฑ์ Space & Dimension, Avatar Uniqueness, Economy ส่วนอีกสี่ข้อก็มีแผนพัฒนาอยู่ จึงเป็นที่มาของความมั่นใจว่าบริษัทมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นแพลตฟอร์มอันดับต้นๆ ของโลกได้นั่นเอง
]]>เดือนที่แล้วผมเพิ่งย้ายงานมาเป็น iOS Software Engineer ที่บ. REALITY ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและให้บริการแอพ REALITY -Avatar Live Streaming- แอพที่ให้ทุกคนเป็น VTuber สไตล์อนิเมะน่ารักๆ ไลฟ์สดได้ทุกที่ทุกเวลา
พอเขียนแอพ เพิ่มฟีเจอร์นู่นนี่เข้า มีความผูกพันกับแอพมากขึ้น ก็เริ่มสนใจจะไลฟ์ด้วยตัวเองบ้าง (เป็นสายดูอย่างเดียวมาตลอด) แต่จะให้พูดอย่างเดียวคงไม่รอด เลยกะหาเพลงมา Cover หรือเล่นดนตรีประกอบดู จึงเป็นที่มาของการหาข้อมูลว่าต้องทำยังไงถึงจะไม่ผิดกฎหมาย และสรุปเป็นบทความนี้นั่นเอง
บทความนี้อธิบายกฎสำหรับผู้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเท่านั้น สำหรับผู้อยู่นอกญี่ปุ่น หากอยากทำให้ถูกต้องจริงๆ ต้องยื่นเรื่องขออนุญาตต่อเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงโดยตรง เมื่อจะใช้เพลงในการสตรีมมิ่ง ตามกฎหมายแล้วหากไม่ได้รับคำอนุญาตคือห้ามใช้
ก่อนจะลงถึงขั้นตอน ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับลิขสิทธิ์กันก่อน
เมื่อศิลปินสร้างผลงานเพลงขึ้นมา ผลงานนั้นจะได้รับการปกป้องจากกฎหมายลิขสิทธิ์โดยอัตโนมัติ การนำไปก๊อบปี้ แจกให้โหลดฟรี หรือแม้แต่การนำไปสตรีมในไลฟ์ของตัวเองก็ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น การเปิดเพลงของศิลปินบรรเลงเป็น BGM คลิปนั้นจึงเป็นสิ่งต้องห้าม (ถ้าอัพขึ้น YouTube แป๊บเดียวก็โดน mute เพราะสาเหตุนี้)
แต่ยุคนี้เป็นยุค UGC (User-Generated Content) ที่ใครๆ ก็ร้องเพลงแสดงความสามารถตัวเองได้ ทางฝั่งศิลปินก็รู้ดีว่าการที่ผู้ฟังนำเพลงของตัวเองไปบรรเลงใหม่ หรือนำไปร้องคาราโอเกะอัพคลิปแชร์นั้น ถือเป็นการโปรโมตผลงานของตัวเองเป็นอย่างดี จึงมีมาตรการอนุญาตให้ใช้เพลงตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อลดความยุ่งยากในการแชร์ผลงาน ผู้ที่ทำหน้าที่บริหารดูแลมาตรการนั้นก็คือ JASRAC นั่นเอง
JASRAC ย่อมาจาก Japanese Society for Rights of Authors, Composers and Publishers (สมาคมสิทธิของผู้เขียน นักแต่งเพลง และสำนักพิมพ์ของญี่ปุ่น) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ปกป้องลิขสิทธิ์ผลงานเพลงและสื่อสิ่งพิมพ์ของญี่ปุ่น พูดง่ายๆ สำหรับคนทั่วไปก็คือ จะขอนำผลงานใดๆ ไปใช้ที่ไหน ก็ติดต่อองค์กรนี้ได้เลย
ในแง่ของผลงานเพลง JASRAC ทำหน้าที่บริหารเพลงของศิลปินญี่ปุ่นจำนวนมาก ความสัมพันธ์เขียนเป็นแผนผังได้ดังภาพนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปิน-บริษัท-JASRAC
เหตุผลที่บริษัทผู้ถือลิขสิทธิ์มอบอำนาจบริหารลิขสิทธิ์ให้ JASRAC ดูแล ก็เพราะงานบริหารนั้นเป็นสิ่งที่วุ่นวาย สิ้นเปลืองพลังงานมากทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค สมมติมีคนอยากใช้เพลงของ Gurenge ของ LiSA ไปใช้ทำโฆษณา ก็ต้องไปติดต่อกับ Sony Music, อยากใช้เพลง Fushigi ของ Hoshino Gen ก็ต้องไปติดต่อ AMUSE เป็นต้น ถ้าอยากใช้ 10 เพลงก็ต้องติดต่อ 10 ที่ ยุ่งยากและใช้เวลาเยอะมาก
JASRAC เลยเข้ามาแก้ปัญหาความยุ่งยากนี้ โดยมาเป็นตัวกลางให้ เพียงยื่นคำขออนุญาตผ่าน JASRAC ทีเดียว ก็ขอใช้เพลงจาก 10 บริษัทได้ทันที (กรณีที่บริษัทมอบอำนาจบริหารสิทธิที่ผู้ใช้ต้องการขอให้กับ JASRAC) สิ่งที่ผู้ขอใช้เพลงต้องทำก็คือ
รายการสิทธิที่ JASRAC มีอำนาจบริหาร - บรรเลง คัดลอก ดัดแปลง โฆษณา และใช้ในเกม
ในการขอใช้สิทธิแต่ละอย่าง ก็จะมีค่า loyalty ต่างกันออกไป โดย JASRAC กำหนดเรทไว้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น
จะเห็นได้ว่า การกำหนดกฎเกณฑ์ในการใช้สิทธิ์ และค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน ทำให้ฝั่งผู้ใช้สามารถยื่นเรื่องขอใช้เพลงเพื่อเพิ่มมูลค่าธุรกิจตัวเองได้โดยไม่ยุ่งยาก สร้างรายได้ให้กับศิลปินเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เป็นวงจรที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย
เล่าหน้าที่ของ JASRAC แล้ว ต่อไปก็ขอลงรายละเอียดการนำเพลงไปใช้ในคลิปยูทูป หรือใช้ร้องเพลงลงไลฟ์ครับ สำหรับข้อมูลต้นฉบับ สามารถดู Flowchart ได้ที่เว็บ JASRAC ครับ
ต้องติดต่อขออนุญาตบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นกรณี แต่เจ้าของลิขสิทธิ์บางที่ก็มีประกาศว่าอนุญาตให้ใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต กรณีนั้นไม่จำเป็นต้องติดต่อเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ได้
ตัวอย่างเพลง Instrumental ต้นฉบับที่เจ้าของลิขสิทธิ์อนุญาตให้นำไปใช้ได้เลยก็เช่นเพลง Vocaloid ที่ผู้แต่งเพลงจำนวนมากแจกไฟล์ให้โหลดกันได้ฟรีๆ จึงมีคนนำไปโคฟร้องกันมากมาย (คลิปอุไตเตะเป็นเพลง Vocaloid เยอะมากก็เพราะเหตุผลนี้)
กรณีอัพโหลดเพลงที่บรรเลงเอง หรือร้องเพลงตามเนื้อเพลง,ทำนองต้นฉบับ จะถือเป็นการใช้สิทธิ์เกี่ยวเนื่อง (Related rights 著作隣接権) ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองเช่นกัน
กฎเกณฑ์ของรูปแบบเพลงที่ใช้ได้ ต้องตรงตามข้อใดข้อหนึ่งดังนี้
กรณีเหล่านี้ถือเป็นการใช้สิทธิเกี่ยวเนื่อง สามารถอัพโหลดขึ้นบริการ Streaming Service ที่ทำสัญญาแบบครอบคลุมกับ JASRAC ได้โดยไม่ต้องยื่นเรื่องกับ JASRAC ช่วยลดความวุ่นวายได้มาก
ความสัมพันธ์ระหว่างแพลตฟอร์มกับ JASRAC
สามารถดูลิสต์บริการที่ทำสัญญาแล้วได้ตามเว็บนี้ มี YouTube อยู่ในนั้นด้วย
ข้อควรระวังคือ ถึงจะใช้สิทธิเกี่ยวเนื่องได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ทำรายได้ได้ ดังนั้น เพลงที่อัพขึ้นยูทูปจึงมักถูกปิด monetization หรือไม่ก็ถูกส่งค่าโฆษณาให้เจ้าของลิขสิทธิ์โดยอัตโนมัติ (ยูทูปเรียกว่า Collecting Societies) หากต้องการทำรายได้จากสิทธิเกี่ยวเนื่อง ก็ต้องติดต่อขออนุญาตเป็นกรณีไป
อีกข้อควรระวังคือ เพลงทำนองคาราโอเกะถือเป็นเพลงบรรเลงโดยคนอื่น ดังนั้นจึงห้ามเปิดเพลงคาราโอเกะแล้วร้องขึ้นสตรีมมิ่งได้โดยไม่ได้รับอนุญาต (ตัวอย่าง JOYSOUND มีกฎห้ามชัดเจน)
อย่างที่เกริ่นว่าบทความนี้เล่าถึงการใช้เพลงอย่างถูกลิขสิทธิ์ในญี่ปุ่นเท่านั้น กรณีผู้อาศัยต่างประเทศ ต้องติดต่อกับองค์กรที่ JASRAC มอบอำนาจบริหารให้
สำหรับประเทศไทย MCT เป็นผู้ดูแลสิทธิเพลงญี่ปุ่นที่ JASRAC บริหาร ผมไม่ทราบรายละเอียด ขอให้หาข้อมูลกันเองนะครับ
การขอใช้ลิขสิทธิ์และจ่ายค่าใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ศิลปินมีรายได้ไปสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมาเพื่อขับเคลื่อนวงการบันเทิงต่อไป ในแง่ของการใช้เพลง ญี่ปุ่น JASRAC เข้ามาช่วยให้คนทั่วไปสามารถใช้สิทธิ์เพลงในคลิปของตัวเองได้โดยง่าย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านมีความใส่ใจในการใช้ลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องมากขึ้นครับ
บทความนี้โพสต์ครั้งแรกที่ Medium
]]>ก่อนอื่นต้องเล่าภาพรวมของตลาดแรงงานก่อน ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มตัว จึงขาดแรงงานในแทบทุกอุตสาหกรรม แต่ที่เห็นได้ชัดมากคืออุตสาหกรรม IT ด้วยเหตุผลหลายข้อ เช่น
ฝั่ง Demand
ฝั่ง Supply
ตัวอย่างข้อมูลอ้างอิงจาก DX 白書 2021 (White paper เกี่ยวกับสถานการณ์ Digital Transformation ปัจจุบันของญี่ปุ่น) เช่น
ตาราง 3-2 ถามว่าบริษัทมีปริมาณคนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนองค์กรให้เข้ายุค DX ได้พอไหม บ.ญี่ปุ่น 76% ตอบว่าไม่พอ ในขณะที่บ.อเมริกาตอบว่าไม่พอเพียง 43.1%
ตาราง 3-3 ถามว่าบริษัทมีคนที่มีศักยภาพในการทำหน้าที่เปลี่ยนองค์กรให้เข้ายุค DX ได้พอไหม บ.ญี่ปุ่น 77.9% ตอบว่าไม่พอ ในขณะที่บ.อเมริกาตอบว่าไม่พอเพียง 49.3%
ถึงคำว่า “คนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนองค์กรให้เข้ายุค DX” จะไม่ได้แปลว่าแรงงานสาย IT แต่ก็น่าจะเห็นความจริงที่ว่าบริษัทญี่ปุ่นขาดแคลนคนที่เข้าใจและสามารถแก้ปัญหาองค์กรยุคดิจิตอลได้เป็นอย่างมาก จึงเป็นเหตุผลให้แรงงานสาย IT ที่เก่งๆ เป็นที่ต้องการสูง
จากข้อมูลของเว็บหางาน doda เมื่อเดือน ก.ค. 2021 อัตรารับสมัครงานสาย IT อยู่ที่ 9.68 เท่า (=มีตำแหน่งว่าง 9.68 ตำแหน่งต่อผู้สมัครหนึ่งคน) ถือเป็นสายงานที่ต้องการแรงงานสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทุกสาย สะท้อนสภาวะของประเทศญี่ปุ่นที่ขาดแคลนแรงงานสายนี้ได้อย่างดี
กราฟความเปลี่ยนแปลงอัตรารับสมัครงาน
จากกราฟจะเห็นได้ว่างานสาย IT มีความต้องการสูงสุดมาตลอดตั้งแต่ปี 2014 ยิ่งตั้งแต่ 2017 ยิ่งพุ่งสูงติดเพดานเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นที่เรียนจบตรงสาย หรือมีประสบการณ์ทำงานบ้างแล้ว ก็หางานได้ไม่ยาก หรืออย่างเราที่มีประสบการณ์ 6 ปี ก็เรียกได้ว่ามีแต่คนอยากดึงตัวไปเลยทีเดียว
งานสาย IT จริงๆ มันกว้างมาก เมื่อก่อนแต่ละบริษัทจะ outsource งานเกี่ยวกับ IT ให้บริษัทอื่น เลยมีบริษัทจำพวก System Integrator (SIer) ทำงานตรงนี้โดยเฉพาะ กลายเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันบริษัทจำนวนมากจ้าง Engineer มาทำงานโดยตรง ดังนั้นไม่ว่างานในอุตสาหกรรมใดๆ ก็มีตำแหน่ง IT มาเกี่ยวข้องทั้งนั้น เลยขออธิบายภาพรวมจากหน้าที่และความเชี่ยวชาญดีกว่า
ตามภาพ เนื้องานสาย IT แบ่งย่อยได้ตามนี้
และยังมีสายอื่นๆ อีกมากมายที่เรานึกไม่ออกหรือไม่รู้จัก หากตกหล่นไปก็ขออภัยด้วยครับ
ต่อจากนี้จะขอพูดถึงเฉพาะงานสายที่เราทำ นั่นคือ Software Engineering นั่นเอง ที่ญี่ปุ่นมีวิธีทำงานหลักๆ สามแบบคือ
ตัวเราตั้งแต่ทำงานเป็น Software Engineer ก็ทำแต่ In-house มาตลอด เลยจะขอพูดถึงงานฝั่งนี้เป็นหลัก
แต่ส่วนตัวแล้ว ถ้าเทียบกับ In-house กับ Subcontractor แนะนำให้หางาน In-house ดีกว่า ทั้งเรื่องเงิน สวัสดิการ และสิทธิ์เสียงในที่ทำงาน โดยภาพรวมแล้วดีกว่างาน Subcontractor มาก ส่วนงาน Freelance ถ้ามั่นใจว่ามีความสามารถพอ สามารถหา Client จ้างเราได้ ก็จะทำเงินได้ดีมาก ส่วนหนึ่งเพราะการเป็น Freelance สามารถประหยัดภาษีได้เยอะกว่าเป็นพนักงานเงินเดือนนั่นเอง
ค่าตอบแทนของ Software Engineer ในญี่ปุ่น ดูได้จากเว็บ https://opensalary.jp/ ที่ขอข้อมูลจากพนักงานที่ทำงานในบริษัทนั้นๆ จริงๆ บางอันอาจมีหลอกบ้าง แต่เท่าที่เราดูก็ค่อนข้างเชื่อถือได้แหละ
ข้อมูลจากหน้าแรกเว็บ https://opensalary.jp/
Median ของค่าตอบแทนทั้งปีของ Software Engineer ในบริษัท Top Ten เรียงได้ตามนี้
จะเห็นได้ว่า Google ญี่ปุ่นจ่ายหนักสุดแล้ว ไม่แปลกใจที่ Google Japan จะเป็นเป้าหมายสูงสุดของ Software Engineer ในญี่ปุ่น (เป้าหมายของเราก็เช่นกัน) ส่วนบริษัทท็อป 5 ก็ถือเป็นบริษัทชั้นนำที่คนมองเป็นเป้าหมายกันเยอะมาก
หากสังเกตดีๆ บริษัท Top 5 นี้เป็นบริษัทข้ามชาติหมดเลย เป็นความจริงที่ว่าบริษัทญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ทำธุรกิจหลักอยู่ในญี่ปุ่นจะจ่ายค่าตอบแทนต่ำกว่าบริษัทข้ามชาติ (ไม่เฉพาะสายงาน IT) เพราะฉะนั้นถ้าใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง เลือกงานกับบริษัทข้ามชาติก็น่าจะทำเงินได้ดีกว่านะ
อนึ่งตัวเลขนี้เป็นค่า Median เราเลยบอกไม่ได้ว่าคนที่ได้รายได้นี้ทำงานมากี่ปี อยู่ตำแหน่งไหน แต่เดาได้ว่าถ้ามีประสบการณ์ทำงาน 5-10 ปี ก็จะได้เงินประมาณนี้แหละ (ไม่ใช่ว่าจบใหม่เข้าไปแล้วจะได้เท่านี้เลยนะ)
ส่วนตัวเคยอยู่ Rakuten มาก่อน จะได้ค่าตอบแทนประมาณนี้ต้องอยู่ตำแหน่งเกือบๆ สูงสุดของ Individual contributor (คนที่ยังไม่ใช่ Specialist หรือ Manager) แล้ว ต้องเก่งพอจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ในขอบเขตแคบๆ แล้วล่ะ
ข้อมูลเงินเดือนที่กล่าวไป เป็นข้อมูลของ Software Engineer โดยรวม แต่ภายในกรอบของ Software Engineer ก็มีตำแหน่งแยกย่อย ซึ่งมีความต้องการไม่เท่ากัน
ตำแหน่งงานของ Software Engineer หลักๆ จะแบ่งตาม Platform ที่ต้องดูแล 6 อย่างดังนี้
ถ้าบริษัทใหญ่หน่อยก็จะแยกทีมกันทำ ถ้าบริษัทเล็กหน่อย คนนึงอาจจะทำหลายอย่าง หรือทำทั้งหมด กรณีนั้นจะเรียกว่า Full Stack Developer
Data กับ SRE รู้สึกว่าช่วงนี้ความต้องการสูงมาก ส่วนฝั่ง Application นั้น iOS กับ Android ถือว่าเนื้อหอมมาก เพราะว่ามี Supply น้อย
อ้างอิงจากแบบสำรวจจาก iOS Academia Blog พบว่าคนที่ทำงาน iOS / Android (เรียกรวมๆ ว่า Native หรือ App Engineer) เทียบกับเว็บ (Frontend / Backend) แล้ว มีอัตราส่วนที่ 11:89 พูดง่ายๆ คือ 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่เขียนแอพ iOS / Android เป็นอาชีพ
Smartphone App Engineer เทียบกับ Web Engineer จาก iOS Academia Blog
เหตุผลที่ iOS / Android Engineer มีน้อย ก็เช่น
เรียนยาก เผยแพร่แอพยาก ตำแหน่งงานก็น้อยกว่าสายเว็บ ทำให้ iOS / Android Engineer มีจำนวนน้อย แต่เพราะความหายากนี่แหละ ทำให้คนต้องการตัวมากกว่า ได้ตอบแทนสูงกว่า Web Frontend / Backend Engineer (ได้อย่างเสียอย่างจริงๆ)
เกริ่นภาพรวมกับอธิบายตำแหน่งงานมาซะยาว ขอยกตัวอย่างเงินเดือนงานที่เราทำเลยละกัน
ตำแหน่ง iOS Engineer บริษัท Recruit Co., Ltd. หน้าที่พัฒนาและดูแลแอพ Study Sapuri แอพติวสอบออนไลน์สำหรับนักเรียนญี่ปุ่น (ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิ.ย. 2022)
ภาพจาก https://brand.studysapuri.jp/career/position/ios-engineer
Job Description แปลเป็นไทยได้ดังนี้
หากสมัครระดับ Senior ต้องการคุณสมบัติดังนี้เพิ่ม
ระดับ Senior
ในเว็บรับสมัครแบ่งแยกระดับธรรมดากับ Senior ไว้ ระดับธรรมดาจริงๆ คือ Middle level (ประสบการณ์ 2 ปี+) โค้ดอาจจะไม่ดีเลิศ อาจจะไม่ได้เขียน Test แต่มีความกระตือรือร้นใฝ่รู้ จ้างมาแล้วต้องทำงานได้โดยไม่ต้องสอนวิธีเขียนโค้ดให้ตั้งแต่แบเบาะ ตอนคัดเลือกจะมีโจทย์ให้เขียนแอพเล็กๆ แอพหนึ่งส่งมาเป็นการบ้าน เราจะตัดสินใจสกิลผู้สมัครจากแอพที่เขาเขียนนี่แหละ
ระดับ Senior เงินเดือนสูงกว่ามาก เพราะเราต้องการคนที่มองภาพรวมระบบออก พร้อมที่จะขวนขวายนำ Framework ใหม่ๆ มาใช้เพิ่ม productivity ให้ทั้งทีม สามารถรีวิวโค้ดให้มีคุณภาพดีในระยะยาว ไม่ใช่แค่โค้ดที่ทำตามความต้องการได้เฉยๆ ต้องสามารถเป็นลีดเดอร์นำทีม โค้ชสอนคนที่ระดับต่ำกว่าให้เก่งขึ้น อัพ output โดยรวมของทีมได้ด้วย ดังนั้น ประสบการณ์ทำงานจริงๆ น่าจะต้อง 5 ปีขึ้นไปถึงจะอยู่ในระดับนี้ได้ (3 ปีใน JD เป็นแค่เกณฑ์ขั้นต่ำ)
อยากตัวอย่างข้างบน บริษัท Recruit นี้โฆษณาว่าตัวเองจ่ายเงินเดือนเทียบเท่าหรือดีกว่าบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำแล้ว พอเทียบกับค่าตอบแทนของบริษัทต่างๆ ระดับสูงสุดของ Middle Level ใน JD จ่ายค่าตอบแทนที่ 8.74 ล้านเยน เทียบเท่ากับค่า Median ของ LINE ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่จ่ายค่าตอบแทนสูงสุด (8.75 ล้านเยน) ถามว่าสูงมั้ย? ก็ถือว่าสูงมากสำหรับบริษัทญี่ปุ่น สูงกว่าค่าเฉลี่ยเงินเดือนคนญี่ปุ่นวัย 30 ถึงสองเท่า
แต่… คำว่าสูงนี้ก็ใช้ได้เฉพาะเวลาเทียบกับบริษัทญี่ปุ่นด้วยกัน หากเทียบกับบริษัทข้ามชาติอันดับหนึ่ง Google Japan ที่จ่ายถึง 22 ล้านเยน ตัวเลขนี้ก็เป็นเพียงเศษส่วน เลยเกิดปัญหาขึ้นมาว่า Software Engineer เก่งๆ ในญี่ปุ่นจะมุ่งหน้าสมัครบริษัทข้ามชาติกัน ทำให้สมองไหลจากบริษัทญี่ปุ่น แม้บริษัทจะต้องการบุคลากรมากขนาดไหน แต่ในเมื่อไม่เหลือคนเก่งเทพๆ ให้จ้าง บริษัทก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่งผลให้ญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะลำบาก ตามหลังประเทศอื่นในด้าน Digital Transformation อย่างนี้นี่เอง
จากประสบการณ์ตรง เราเข้าทีมจ้างคนมาปีกว่า สัมภาษณ์คนมาก็เยอะ แต่ยังไม่เจอคนสมัครระดับ Senior เลยซักคน สะท้อนได้ชัดเจนว่าคนที่อยู่จุดนี้หาตัวยากจริงๆ
บทความนี้เขียนเพื่ออธิบายภาพรวมตลาดแรงงาน IT โดยเฉพาะ Software Engineer ในญี่ปุ่น ให้ผู้อ่านรู้ตัวเลขและสถานะความเป็นจริงของตลาดปัจจุบัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจครับ
อนึ่ง ข้อมูลที่เขียนในนี้มาจากความเห็นส่วนตัวของเราจากการทำงานเป็น iOS Engineer ที่โตเกียวมา 6 ปี ประกอบกับข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงเท่าที่หาได้ อาจมีข้อผิดพลาดเพราะรู้ไม่ถึงการณ์ ก็ขออภัยไว้ด้วยครับ
วัตถุประสงค์ที่เขียนบทความนี้จริงๆ แล้วคือ อยากเตือนคนที่ชอบญี่ปุ่นและอยากมาทำงานสาย IT ที่นี่ว่าค่าตอบแทนที่นี่น่ะไม่ได้สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศโลกตะวันตก (ลองส่องเงินเดือนประเทศอื่นได้ที่นี่) หากต้องการค่าตอบแทนสูงๆ ขอให้คิดหนักๆ อีกทีเลย
แต่อย่างที่กล่าวไปว่าตลาดมีความต้องการตัวบุคลากร IT มาก ถ้าอยากมาก็มาได้ไม่ยาก บริษัทข้ามชาติก็มีหลายที่ บางที่ใช้ภาษาอังกฤษทำงานได้ (แต่มี JLPT N2 ขึ้นไปจะดีกว่า ตัวเลือกเยอะ) เดี๋ยวนี้บริษัทชั้นนำทำงานกันแบบสมัยใหม่แล้ว ไม่มีการทำงานโขกสับจนดึกดื่นเหมือนเมื่อก่อน ถ้าอายุเฉลี่ยของพนักงานอยู่ในหลัก 30 ก็ปลอดภัยในระดับหนึ่ง ดังนั้น ถ้าคุณชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น (ชอบอนิเมะแบบเรา ฮ่าๆ) ชอบความปลอดภัยในชีวิต ยอมรับเงินเดือนได้ ญี่ปุ่นก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจตัวหนึ่ง
หากอยากทราบอะไรเพิ่มเติมก็สามารถถามเราผ่าน Twitter ได้ครับ อยากให้มีคนไทยสาย IT มาญี่ปุ่นเยอะๆ จะได้มีเพื่อนคนไทยเพิ่ม ฮ่าๆ
💡 รีวิวนี้เขียนจากประสบการณ์ตรง ไม่ได้รับสปอนเซอร์แต่อย่างใด
ความเห็นในบทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ประสบการณ์ของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ควรปรึกษาแพทย์เป็นอย่างดีก่อนตัดสินใจทำ
ข้อสรุปง่ายๆ สำหรับคนสายตาสั้น/เอียงและรำคาญการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์… ถ้ามีเงินก็ทำ ICL ไปเลย ไม่เจ็บ ไม่น่ากลัวซักนิด!
ICL = Implantable Collamer Lens คือการผ่าตัดเพื่อใส่เลนส์เสริมเข้าไปในลูกตาเพื่อแก้ปัญหาสายตาสั้น/เอียง/ยาว
คลิปการจำลองการผ่าตัด
ข้อมูลรีวิวการรักษาที่ไทยลองอ่านได้ที่นี่ครับ รีวิวการผ่าตัดใส่เลนส์เสริม Phakic Intraocular Lens / ICL จุดต่างคือการผ่าของเราผ่าทีเดียวสองข้าง เสร็จแล้วกลับบ้านได้เลยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
พูดถึงการรักษาสายตาสั้น ทุกคนคงนึกถึงเลสิคกันก่อน เราก็นึกถึงเหมือนกัน แต่พอหาข้อมูลแล้วก็พบว่า ICl ดีกว่าเลสิคแทบทุกด้าน เลยตัดสินใจทำ ICL แทน
รูปเปรียบเทียบขั้นตอนการทำ ICL กับ LASIK รูปจาก https://www.oshimaganka.com/icl/
สำหรับคนที่จะรักษาจริงจัง ก็แนะนำให้หาข้อมูลเปรียบเทียบ ปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษา แต่ส่วนตัว เราเลือก ICL เพราะเหตุผลหลักสองข้อนี้
อนึ่ง คลินิคที่เราไปรักษา เขียนถึงข้อดีข้อเสียของ ICL เมื่อเทียบกับเลสิคไว้อย่างละเอียด ถ้าสนใจสามารถอ่านภาษาญี่ปุ่นได้ที่ ICL(眼内コンタクトレンズ)のメリット・デメリット
ค่าใช้จ่ายที่ SBC Shinjuku Kinshi Clinic ที่เราไปรักษารวม 573,500 เยน (ประมาณ 170,000 บาท) รายละเอียดค่าใช้จ่ายเป็นดังนี้
รวมค่าใช้จ่าย 598,500 หักลบส่วนลดจากคูปองเพื่อน 25,000 เยน เหลือ 573,500 เยน
ค่าใช้จ่ายนี้รวมค่าตรวจสายตา ค่าตรวจหลังผ่าเป็นเวลาหนึ่งปี และรับประกันกรณีสายตาเปลี่ยนเป็นเวลาสามปี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแฝง
ถ้าเทียบกับเลสิค แบบพื้นฐาน 154,000 เยน แบบดีที่สุด 264,000 เยน ICL ก็แพงกว่ามากโขอยู่ จะคุ้มหรือไม่คุ้มก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคนครับ
อนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการรักษาสายตาสั้นสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ (医療費控除) เท่าที่คำนวณ เราจะได้ภาษีกลับมาประมาณ 142,050 เยน ((573,500 - 100,000) * 30%) ค่าลดหย่อนนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจทำ ICL ครับ (จำนวนเงินที่ลดหย่อนจะแตกต่างกันตามรายได้)
ตึกที่ตั้งของ SBC Shinjuku Kinshi Clinic
Timeline การรักษาของเราเป็นดังนี้
จากนั้นก็ต้องไปให้หมอตรวจสภาพตา 1 สัปดาห์ / 1 เดือน / 3 เดือน / 6 เดือน / 1 ปีให้หลัง เพื่อให้มั่นใจว่าเลนส์ที่ใส่เข้าไปจะไม่เคลื่อนผิดตำแหน่ง
เนื่องจากหลังวันผ่าจำเป็นต้องไปตรวจอีกรอบ เราเลยจองโรงแรมใกล้ๆ คลินิคเพื่อเข้าไปพักหลังผ่าเสร็จทันที จะได้ไม่เสียเวลาเดินทางไปกลับบ้านซึ่งอยู่นอกตัวเมือง
ในวันตรวจสายตา คลินิคจะให้ยาหยอดตาฆ่าเชื้อทั้งสำหรับเลสิคและ ICL (คนละชนิดกัน) ให้เราพกกลับบ้าน ไม่ว่าเราจะเลือกทำแบบไหนก็จะได้ไม่ต้องเดินทางไปรับยาอีกรอบให้เสียเวลา
ในวันผ่า เมื่อไปถึงตามเวลานัด พนักงานก็จะมาหยอดยาขยายม่านตา สลับกับยาชาให้เรา รู้สึกจะรวมๆ สามเซ็ตในเวลา 60 นาที ขั้นตอนนี้ยังนั่งอยู่ที่ห้องรอคิวทั่วไปกับผู้ใช้บริการคนอื่น เลยไม่ตื่นเต้นเท่าไร พอหยอดยาได้ซักสิบนาทีก็เริ่มอ่านมือถือไม่ออกละ ทำอะไรไม่ได้นอกจากการนั่งเฉยๆ สงบสติอารมณ์
อนึ่ง บรรยากาศที่นี่ไม่เหมือนโรงพยาบาลซักนิด เลยไม่อยากใช้คำว่าพยาบาล-คนไข้เท่าไร พนักงานก็ใส่ชุดต้อนรับปกติ ไม่ได้ใส่ชุดผ่าตัดแบบพยาบาล ส่วนผู้รับการรักษาก็ใส่ชุดธรรมดา ไม่ต้องเปลี่ยนชุดอะไรเลยเช่นกัน จึงขอใช้คำว่าพนักงานกับลูกค้าละกัน
เมื่อครบ 60 นาที พนักงานก็จะเช็คว่าม่านตาเราเปิดกว้างรึยัง เมื่อเช็คแล้วก็บอกให้เตรียมรอเรียกเข้าห้องผ่าตัด ให้ไปเข้าห้องน้ำ แล้วเก็บของทุกอย่างเข้าล็อคเกอร์ให้เรียบร้อย
จากนั้นพนักงานก็เรียกเข้าห้องรอผ่าตัด เป็นห้องส่วนตัวที่กั้นด้วยผ้าม่าน มีเก้าอี้นวมนุ่มๆ ให้นั่งผ่อนคลาย มีเพลงกล่อมช่วยให้ relax มาก นั่งเสร็จก็มีพยาบาลที่รับผิดชอบเรามา (คนนี้ใส่ชุดพยาบาลจริง) หยอดยาเพิ่ม จำไม่ได้ว่าอะไรบ้างแต่น่าจะเป็นยาชาสลับกับยาฆ่าเชื้ออีกประเภท แล้วก็ให้สวมหมวกผ้าเพื่อเก็บผมไม่ให้ออกมารบกวนการผ่าตัด
พยาบาลเข้ามาหยอดตาเราทุกๆ ห้านาที รวมทั้งสิ้น 5 รอบ ตอนแรกๆ ยังมีความรู้สึก โดนยาหยอดตาหยดใส่ต้องกะพริบตา แต่ประมาณรอบที่สามก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เปิดตาค้างรับยาได้เลย เป็นสัญญาณว่ายาชาออกฤทธิ์ชัดเจน
เมื่อหยอดยาครบก็ถึงเวลาผ่า พยาบาลพาเราไปหาหมอที่ห้องตรวจตาซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนเข้าห้องผ่า เราได้หัวหน้าคลินิคเป็นหมอผู้ลงมือผ่า (เห็นโฆษณาว่าผ่ามาแล้วมากกว่าหนึ่งหมื่นคน กราบ) หมอใช้เครื่องส่องดูตาเรา แล้วก็มาร์กตำแหน่งตาเพื่อใส่เลนส์ให้ตรงที่ เห็นว่ามีอะไรที่เหมือนปากกามาจิ้มลูกตาแหละ แต่ไม่รู้สึกอะไรแล้วตอนนั้น
จากนั้นก็ไปห้องผ่าตัดในที่สุด ห้องนี้เป็นห้องขาวๆ มีเก้าอี้แบบเก้าอี้หมอฟันอยู่ตรงกลางตัวเดียว ให้เราลงนอน พยาบาลเอาผ้ามาคลุมตัว แล้วก็เอาผ้าปิดหน้าที่เปิดรูเฉพาะตรงตาข้างที่จะผ่ามาปิดหน้า
เริ่มการผ่าที่ตาขวาก่อน พยาบาลนำเทปมาติดข้างล่างและข้างบนหนังตา จากนั้นก็วางที่ครอบตาให้ปิดตาไม่ได้ ก่อนผ่านี่กลัวขั้นตอนนี้มาก คือจินตนาการไม่ออกว่าคนเราจะรู้สึกยังไงเวลาที่ปิดตาไม่ได้ คำตอบก็คือ… ไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะยาชา 555+ ไม่มีความรู้สึกอยากปิดตาซักนิดเดียว
พอเซ็ตติ้งพร้อม ก็เริ่มปฏิบัติการ ขั้นตอนแรกคือฉีดน้ำล้างลูกตา ให้เรามองขึ้นบนซ้ายขวาระหว่างฉีดน้ำ จากนั้นหมอก็ปรับเครื่องฉายไฟลงมาฉายบนลูกตา ให้เรามองข้างบนตรงๆ อย่าขยับ เราก็มองตรงๆ นิ่งๆ แล้วหมอก็หยิบมีดมาผ่าเปิดรูตา ใช้อุปกรณ์ล้างข้างในตา เสร็จแล้วก็สอดเลนส์เข้ามา วินาทีที่เลนส์เข้ามาคือเห็นภาพค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างรู้สึกได้ อารมณ์คล้ายๆ ใส่แว่นครึ่งลูกตาอะไรอย่างนั้น พอเลนส์เข้าเสร็จหมอก็ใช้อะไรซักอย่างมาคลี่เลนส์ ขยับเลนส์ให้เข้าที่ แล้วก็ล้างตาอีกรอบ รวมทั้งหมดนี้ไม่น่าถึงห้านาที ทุกอย่างไวมาก ไม่มีความลังเลหรือผิดพลาดใดๆ ตอนขยับเลนส์ก็น่าจะครั้งเดียวจบเลย สัมผัสได้ถึงความเชี่ยวชาญจริงๆ
ตอนล้างตากับตอนใส่เลนส์เป็นช่วงที่รู้สึกประหลาดมาก เห็นน้ำไหลผ่าน ไฟผ่าตัดพร่าๆ ติดๆ ดับๆ ไม่เคยเห็นภาพอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต แต่วินาทีที่ตะลึงสุดคือตอนที่หมอปรับเลนส์ให้เข้าที่แล้วนี่แหละ เห็นไฟเพดานแค่แว้บเดียวก่อนหมอปิดตา แต่เห็นชัดแล้ว โอออออ นี่หรือสายตาคนปกติ สุดยอดดดดดด (ประทับใจได้วินาทีนึงก่อนโดนเอาผ้าปิดตา 555)
ผ่าตาขวาเสร็จ ก็ต่อตาซ้ายทันที แบบเดิมเด๊ะ ไม่ตื่นเต้นกับการโดนผ่าแล้ว แต่ตื่นเต้นที่จะได้เห็นโลกที่ชัดเจนหลังผ่าเสร็จมากกว่า ฝั่งตาซ้ายเราเป็นตาที่ไม่ถนัด (ถนัดตาขวา) เลยมองเห็นตอนผ่าไม่ค่อยชัด ความรู้สึกเลือนลางกว่าตาขวา ยิ่งพอรู้ว่าจะโดนอะไรบ้างแล้วก็ยิ่งทำใจง่าย ชิวสุดๆ ไม่เกินห้านาทีก็เสร็จ
ระหว่างผ่า หมอบอกตลอดว่าจะทำอะไรบ้าง เลยไม่มีความกังวลก็จริง แต่ทุกอย่างเป็น pattern มากๆ ไม่มีบทสนทนาอื่นๆ ซักนิด ให้อารมณ์เหมือนผ่าตัดกับหุ่นยนต์นิดๆ ถ้าใครอยากให้หมอคอยปลอบ คอยใส่ใจความรู้สึกอาจจะไม่เหมาะเท่าไร แต่สำหรับเราคือเหมาะมาก คือมันไม่เจ็บไง ไม่ต้องพูดพล่ำทำเพลง รีบๆ ทำให้เสร็จอย่างนี้ดีกว่า ฮ่าๆ
ผ่าเสร็จสองข้างปุ๊บพยาบาลก็พาออกไปนั่งพักที่ห้องรอผ่าตัด เก้าอี้นุ่มๆ ตัวเดิมเปลี่ยนแค่ตำแหน่ง (ตัวแรกมีลูกค้าคนต่อไปนั่งเรียบร้อย หมุนไวสุดๆ) ให้ปิดตานั่งเฉยๆ 15 นาที ไม่มีอุปกรณ์ปิดตาอะไร นั่งเฉยๆ เอนหลังแบบสบายตัว ครบเวลาก็ออกจากห้องรอผ่าตัด ไปห้องรอคิวข้างนอก พนักงานอีกคนมาเรียกไปตรวจความดันภายในลูกตา ไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็ไปห้องหมอเป็นครั้งสุดท้าย หมอส่องดูตาเราไม่กี่วินาทีก็บอกว่า “ผ่าตัดสำเร็จด้วยดีครับ เชิญกลับบ้านได้ รักษาตัวดีๆ ด้วย” เป็นอันจบทุกขั้นตอนวันนี้
ยาที่ได้รับมาให้หยอดหลังผ่าเสร็จจนกว่าจะหมด
หลังผ่าเสร็จต้องใส่แว่นป้องกันตาเวลาเดินข้างนอก และสายตาก็ยังพร่าๆ จากฤทธิ์ยาขยายม่านตา ตอนเดินจึงยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสายตาดีเท่าไร แต่หลังจากนอนพักที่โรงแรมถึงเย็น ออกไปกินมื้อเย็นข้างนอก ก็เห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว (แต่ยังมองไฟไม่ได้เพราะแสงสว่างจ้ามาก)
แว่นป้องกันตาที่คลินิคแจกให้ฟรี
ตกกลางคืนถึงฤทธิ์ยาชาจะหมด แต่เราก็ไม่รู้สึกเจ็บหรือคันใดๆ แค่รู้สึกแสบนิดๆ เวลาปิดตาแรงๆ ตอนกะพริบตาเฉยๆ ไม่มีปัญหาเลย แว่นป้องกันตาพนักงานบอกให้ใส่เฉพาะตอนออกไปข้างนอก เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ในบ้าน เวลานอนก็นอนตามปกติได้ สบายมากจนไม่น่าเชื่อว่านี่เราเพิ่งผ่านการผ่าตัดมาสดๆ ร้อนๆ มีจุดที่ลำบากก็แค่การต้องหยอดยาหยอดตา 3 ชนิดวันละ 4 ครั้ง กับการห้ามขยี้ตาและห้ามน้ำเข้าตาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นเอง
วันรุ่งขึ้นตื่นมาพร้อมความประทับใจ ไม่ต้องหยิบแว่นใส่ก็เห็นห้องชัดเจน มองกระจกเห็นหน้าตัวเองที่ไม่ใส่แว่นชัดแจ๋วเป็นครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปี โอวววววว รู้สึกคิดถูกที่ตัดสินใจทำ ICL ก็ตอนนี้นี่แหละ
ผลการตรวจสายตาวันรุ่งขึ้น ทุกอย่างปกติไม่มีปัญหา ภาพชัดประดุจใส่แว่นอยู่ตลอดเวลา วัดค่าสายตาออกมาที่ 1.5 (1.5 เท่าของสายตาปกติ) เห็นทุกอย่างชัดเจน กลับบ้านได้อย่างสบายใจครับ
ประสบการณ์การผ่า ICL รักษาสายตาสั้นครั้งแรก (และหวังว่าจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต) นี้ถือว่าดีกว่าความคาดหมายมากๆ เหตุผลหลักๆ ก็ดังนี้
สิริเวลาที่ใช้ ถึงคลินิค 11:15 เข้าห้องรอผ่า 12:10 เสร็จทุกอย่าง 13:30 สองชั่วโมงกว่า รวดเร็วจนประทับใจมากๆ เห็นได้ถึงความช่ำชองของหมอ และการงานทุกอย่างที่ optimized ถึงขีดสุด
เราโชคดีตรงที่เลนส์มีอยู่ในสต๊อกในประเทศ ไม่อย่างนั้นอาจต้องรอ 1-3 เดือนกว่าจะได้เลนส์ นี่เป็นข้อเสียจริงๆ ข้อเดียวของ ICL ก็ว่าได้ คือต้องใช้เวลารอเลนส์ ไม่เหมือนเลสิคที่อยากทำก็ทำได้เลยถ้าตาพร้อม
อย่างที่ได้เล่าไป คือไม่รู้สึกเจ็บอะไรใดๆ แม้ตอนที่เขียนบล็อกหลังผ่าเสร็จแล้วหนึ่งวันตอนนี้ เวลาอยู่บ้านไม่จำเป็นต้องใส่แว่นปิดตาให้อึดอัดแต่อย่างใด แค่ต้องใช้ชีวิตแบบระมัดระวังตานิดหน่อยเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นเอง
ส่วนตัวคือก่อนทำ ICL กลัวมาก การผ่าตัดตาที่เราหนีไปไหนไม่ได้ หลับตาไม่ให้เห็นภาพสยองไม่ได้เนี่ย แค่คิดก็จะเป็นลม แต่พอทำจริง ปรากฏว่ายาขยายม่านตาทำให้เราโฟกัสไม่ได้ มองอะไรไม่ชัด ประกอบกับสายตาที่สั้นอยู่แล้ว พอถอดแว่นก็แทบจะไม่เห็นอะไร เลยไม่น่ากลัวเลยซักนิดเดียว
ลาก่อนแว่นสายตาทั้งหลายที่เคยมี
สำหรับคนสายตาสั้น/เอียงและรำคาญการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์… ถ้ามีเงินก็ทำ ICL ไปเลย ไม่เจ็บ ไม่น่ากลัวซักนิด! (พูดเหมือนตอนต้นเด๊ะ 555)
เราไม่ได้ทำเลสิคเลยไม่รู้ว่าจะเจ็บกว่ามั้ย แต่เท่าที่อ่านดู เลสิคต้องดูแลรักษาตัวเองหลังผ่าเยอะกว่า (เพราะแผลใหญ่กว่า) เพราะฉะนั้น ICL ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าถ้าอยากทำตัวสบายๆ หลังผ่าเสร็จ
แน่นอนว่าข้อเสียของ ICL คือราคาที่แพงบรรลัย สำหรับคนอยู่โตเกียวและคิดจะทำ ICL หรือ Lasik ที่ Shinjuku Kinshi Clinic สามารถใช้เลขคูปองนี้เพื่อรับส่วนลด 1-3 หมื่นเยน (ส่วนลดขึ้นอยู่กับการรักษา) ได้ แค่กรอกข้อมูลนี้ในฟอร์ม counseling ที่จะได้รับหลังจองตรวจสภาพสายตาครับ
① 紹介者の診察券番号
48125
② 紹介者の名前
ロークニヨム チャッチャイ
③ クーポンコード
sbc0149
Disclaimer: หากใช้คูปองส่วนลดนี้ เรา (ผู้แนะนำ) จะได้รับเงิน cashback กลับมา 1-2 หมื่นเยน
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจรักษาสายตาด้วยการใส่เลนส์เสริม ICL นะครับ พอไม่ต้องใส่แว่นแล้ว ชีวิตก็สะดวกสบายขึ้นเยอะ ส่วนตัวตอนนี้คือเฝ้ารอวันตัดผมครั้งถัดไปมากๆ จะได้เห็นผมตัวเองในกระจกที่ร้านตัดผมซักที เป็นความฝันเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ 555+
]]>สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ คือ
เมือง Hamamatsu ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามรอยยุรุแคมป์อย่างเต็มที่ เห็นได้จากแผ่นป้ายแนะนำที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสวน Bentenjima Kaihin Park ดังรูป กะไม่ให้หลงกันเลยทีเดียว
สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ คือ
ระหว่างทางไปแคมป์ Ryuyo มีถนนเลียบ Tenryu River ซึ่งมีกังหันลมเรียงสวยมากๆ เป็นวิวที่ประทับใจสุดในทริปนี้เลย
อย่างที่เกริ่นตอนต้นคือ ในเรื่องใช้เวลาสองวันกว่าจะเที่ยวครบ แต่ผมกลับรีบขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งวันเดียวจบ เลยไม่ค่อยมีเวลาเอ็นจอยบรรยากาศ ถ่ายรูปเท่าไรนัก ที่ท่องเที่ยวก็เก็บได้ไม่ครบ ถ้าจะไปตามรอยแสวงบุญจริงๆ ก็ควรแบ่งเป็นสองวันอย่างในเรื่องครับ
คลิปสองคลิปนี้เป็นคลิปเซ็ตสุดท้ายที่ผมถ่าย ก่อนจะขายมอเตอร์ไซค์ทิ้งไป (รายละเอียด) ก็หวังว่าคลิปเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชมออกเดินทางท่องเที่ยวกันครับ สนุกและได้ประสบการณ์มากมายแน่นอน!
]]>ช่วงต้นปี 2021 อนิเมะ Yurucamp Season 2 และ Super Cub ฉาย ทำให้เราอยากขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวตามรอย ตั้งแคมป์ รับลมชมวิวแบบสโลว์ไลฟ์อย่างในเรื่องบ้าง เลยไปทำใบขับขี่ และซื้อมอเตอร์ไซค์ Tricity 155 มาตอนเดือนมิถุนายน แต่หลังจากขี่ตามรอยจนครบ ทำสิ่งที่อยากทำหมดแล้ว ก็รู้สึกหมดเสน่ห์ขึ้นมาทันที เราเลยขายมอเตอร์ไซค์ทิ้งไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน โพสต์นี้จะมาเล่าประสบการณ์การขี่มอเตอร์ไซค์ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาสี่เดือน และเล่าข้อดีข้อเสียให้ฟังกันครับ
Tricity 155 ตอนซื้อมาใหม่ๆ
ก่อนอื่น จะขี่มอเตอร์ไซค์ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ขอเปิดเผยให้หมด ณ ตรงนี้เลยละกัน
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นครั้งเดียว
รวมประมาณ 740,000 เยน
ค่าใช้จ่ายรายปี มีดังนี้
รวมประมาณ 112,400 เยนต่อปี (ถึงไม่ขับเลยก็ต้องจ่าย 72,400 เยนต่อปี)
Tricity 155 อายุใช้งานสี่เดือน วิ่งไป 4,000 กิโลเมตร มีออพชั่นครบครัน ขายออกไปในราคา 273,000 เยน
ขาดทุนยับเยิน ซึ่งก็ไม่แปลกใจมากนัก ราคาขายมือสองในตลาดอยู่ที่ประมาณ 400,000 เยน ร้านรับซื้อก็ต้องซื้อในราคา 60-70% ของราคาขาย จึงออกมาเป็นดังนี้ ถ้าขายตรงได้คงขาดทุนน้อยกว่านี้ แต่เราไม่มีความชำนาญในเรื่องยานยนต์ ไม่อยากเจอปัญหา เลยขายให้รับร้านรับซื้อไปดีกว่า
มาเล่าข้อดีกันก่อนดีกว่า เปรียบเทียบกับการเดินทางด้วยรถสาธารณะหรือจักรยาน
นี่คือเหตุผลหลักในการซื้อมอเตอร์ไซค์ หลังซื้อเราก็ได้ไปเที่ยวตามรอย Yurucamp อย่างสมใจ นึกอยากไปวันไหนก็ไปได้ (ถ้าอากาศดี) ไม่ว่าจะเป็น Izu, Minobu หรือทริปยาวหกวัน ถ้าไม่มียานพาหนะของตัวเองคงออกไปเที่ยวบ่อยๆ ไม่ได้ขนาดนี้ คงไม่สามารถแบกอุปกรณ์แคมป์มากมายไปตั้งแคมป์ตามที่ฝันไว้ได้
Fumotoppara Camp ตั้งแคมป์ครั้งแรกในญี่ปุ่น สัมภาระเยอะก็ไม่หวั่น
เส้นทางที่ตราตรึงใจสุดคือเส้นทางขี่ไปทะเลสาบ Yamanakako ผ่านถนนตัดภูเขา Doushi-michi เป็นถนนที่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก รถยนต์กลายเป็นส่วนน้อย (ปกติมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนน้อยของถนนญี่ปุ่น) มีครั้งหนึ่งได้ขับตามขบวนมอเตอร์ไซค์ประมาณ 10 คันติด ให้ความรู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งในกองทัพนักผจญภัยผู้ขับผ่านสายลมไปสู่เป้าหมายปลายทางเลย 555
วันไหนอากาศดี การได้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกรับลมบนถนนที่เปิดโล่ง มองเห็นท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา ก็เป็นความสุขสุดๆ ที่หาคำมาพรรณนาไม่ถูกเลย
มอเตอร์ไซค์เครื่อง 155cc ในญี่ปุ่นสามารถวิ่งได้เหมือนรถยนต์ทุกประการ ไม่โดนจำกัดความเร็ว 30 กิโล เหมือน gentsuki (มอเตอร์ไซค์เครื่อง 50cc) และขึ้นทางด่วนได้เหมือนรถยนต์ วิ่งที่ความเร็ว 100 กิโลได้เท่ากัน จึงใช้เดินทางไปได้ทุกที่จริงๆ
Omaezaki จุดใต้สุดของจังหวัด Shizuoka ไม่มีบัสวิ่งผ่าน
ถึงญี่ปุ่นจะมีรถไฟและรถบัสวิ่งครอบคลุมสถานที่ต่างๆ แต่ก็ยังมีที่ท่องเที่ยวที่เดินทางไปได้ยาก พอมีรถเป็นของตัวเองก็วางแผนด้วยตัวเองได้ เดินทางไปได้ทุกที่ เห็นประโยชน์มากที่สุดตอนเที่ยวเมือง Minobu เพราะเป็นเมืองที่บ้านนอกมาก รถไฟมาชั่วโมงละคัน บัสแทบไม่มี จะตามรอยเมืองนี้ให้สะดวกต้องมีรถเป็นของตัวเองจริงๆ
Covid-19 ทำให้การขึ้นรถสาธารณะเป็นเรื่องน่ากลัว พอขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นัก อยู่บนถนนคนเดียว ไม่เจอความแออัด ไม่ต้องกลัวคนข้างๆ ไอใส่
ผลพลอยได้ของการขับรถคนเดียวก็คือ สามารถตั้งกล้อง Action camera ถ่ายฟุตเทจตอนขับได้ตลอดทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากหากขึ้นรถสาธารณะ จะให้ยืนข้างหน้าบัสตลอดก็ยังไงๆ อยู่เนอะ
Venus Line จังหวัด Nagano
เล่าข้อดีแล้ว มาสาธยายข้อเสียต่อ
นี่คือประเด็นสำคัญ Running cost ของมอเตอร์ไซค์สูงมากเมื่อเทียบกับการเที่ยวด้วยรถสาธารณะ ต่อให้ไม่ขับเลยก็ต้องเสียเงินไม่ต่ำกว่า 70,000 เยนต่อปี เป็นเงินที่หายไปโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา
ตัวค่าเดินทางเองก็แทบไม่ต่างกับการขึ้นรถไฟไป เพราะค่าทางด่วนที่ญี่ปุ่นแพงมาก รวมค่าน้ำมันแล้ว ซื้อตั๋วรถไฟนั่งไปก็ไม่ต่างกัน ถ้าขึ้นรถบัสก็ถูกกว่าอีก
ตัวอย่างค่าเดินทางจากเมือง Machida ของเรา ไปทะเลสาบ Kawaguchiko
จะเห็นได้ว่าค่าเดินทางระหว่างเมือง มอเตอร์ไซค์ไม่ถูกเลย จะถูกกว่าได้ก็ต่อเมื่อไม่ใช้ทางด่วน แต่ถ้าไม่ใช้ทางด่วน ก็เสียเวลาเพิ่มขึ้นสองเท่า ไม่คุ้มกับค่าเวลาชีวิต
ส่วนค่าเดินทางในเมืองท่องเที่ยว ขี่มอเตอร์ไซค์เองไม่ต้องเสียค่าบัสท้องถิ่นจริง แต่ก็เสียค่าที่จอดรถ ครั้งละ 200 เยนบ้าง 300 เยนบ้าง โดยรวมถูกกว่าค่าบัสท้องถิ่น แต่พอคิดถึงค่า fixed cost ที่ต้องจ่ายทุกปีแล้วก็แพงกว่าเยอะ
สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ที่คนชอบใช้รถยนต์ขับไปเช้าเย็นกลับจากโตเกียวก็อย่างเช่น Kawaguchiko, Hakone, Izu, Kisarazu ต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการเดินทาง ต้องขับบนทางด่วนประมาณ 1 ชั่วโมง
การนั่งบนเบาะข้างนอก ไม่มีอะไรขวางกั้น ปะทะลมด้วยความเร็ว 100 กิโลเป็นเวลา 1 ชั่วโมงนั้น ไม่ต่างกับการยืนอยู่กลางพายุตัวเปล่า ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามาก ขาไปยังมีความสนุกที่ได้ขับเร็วๆ อยู่บ้าง แต่ขากลับคือไม่ไหวแล้ว อยากหลุดพ้นจากลมร้ายนี้ไวๆ เหลือเกิน
ถ้าเปรียบเทียบกับจักรยาน ขี่จักรยานเหนื่อยกว่า แต่ก็ทำให้ร่างกายแข็งแรง ขี่เสร็จก็ไม่ต้องหาเวลาออกกำลังกายเพิ่ม แต่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้เป็นผลดีต่อร่างกายซักนิด
ขี่มอเตอร์ไซค์ต้องเสียเวลาขับ ทำอะไรไม่ได้นอกจากฟังเพลง ซึ่งก็ไม่ค่อยสุนทรีย์นักเพราะเจอเสียงลมเบียดแทรก ต่างกับรถสาธารณะที่จะงีบหลับก็ได้ จะอ่านหนังสือก็ได้ หรือถ้าเป็นรถไฟด่วนนั่งชิวๆ จะหยิบคอมมาทำงานก็ยังได้
เราซื้อมอเตอร์ไซค์มาสิ้นเดือนมิถุนายน พอเข้าเดือนกรกฎาคม ก็เป็นฤดูฝน ฝนตกแทบทุกวันเสาร์อาทิตย์ ไปเที่ยวไหนไม่ได้เลย บางวัน ตอนเช้าอากาศดี ตอนเย็นฝนตก ก็ต้องหยิบเสื้อกันฝนใส่ กลับมาบ้านเปียกๆ ไม่สนุกอีก
เดี๋ยวเข้าหน้าหนาวก็ต้องเจอลมหนาว ไม่อยากคิดว่าจะหนาวขนาดไหน…
เราขี่มอเตอร์ไซค์เพื่อเอ็นจอยวิวบนถนนเลียบป่าฝ่าดอย แต่เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ต้องขับบนถนนรถยนต์ ความเร็วเท่ารถยนต์ ทำให้ขับช้าๆ ไม่ได้ ต้องขับตามรถบนถนน เลยไม่สามารถบิดเครื่องช้าๆ กินลมชมวิวได้ ต่างกับจักรยานที่ยังไงๆ รถก็ขับแซง ปั่นเรื่อยๆ เอื่อยๆ ได้
Machida เป็นเมืองที่อยู่ขอบโตเกียว เป็นสังคมเมืองที่คนใช้รถยนต์ส่วนตัวเยอะ ทำให้รถติดบ่อยมาก ไฟแดงก็เยอะ กว่าจะขี่หลุดพ้นไปขึ้นทางด่วน (8 กิโล) ได้ ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ทำให้อารมณ์ท่องเที่ยวลัลล้าหายไปหมดทุกครั้งที่ขับไปกลับ
รถติดที่สถานที่ท่องเที่ยวก็ไม่แพ้กัน ตัวอย่าง Hakone วันก่อนนั่งรถไฟไป มองจากข้างบนเห็นรถติดยาวบนถนนรอเข้าที่จอดรถ Owakudani น่าจะต้องรอกันไม่ต่ำกว่า 30 นาทีแน่ๆ มอเตอร์ไซค์ยังพอซิกแซกแซงไปได้ แต่ก็ทำให้เสียเวลาไม่ใช่น้อย (เห็นแล้วล้มเลิกความคิดขับรถยนต์เลย)
อนึ่ง เคยลองออกจากบ้านตีสามครึ่ง 10 นาทีก็ถึงทางขึ้นทางด่วนแล้ว แต่จะให้ตื่นอย่างนั้นทุกครั้งก็ไม่ไหวนะ…
พอขับรถเอง ก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ถึงจะเลือกใช้ Tricity 155 ที่มีสองล้อหน้า ไม่ล้มง่ายๆ เบรกดีก็เถอะ เท่าที่ขี่มาก็เคยรู้สึกเสียวกลัวตายอยู่สองสามครั้ง ตอนที่อยู่ๆ รถคันหน้าก็เหยียบเบรก ต้องเบรกตามแบบกะทันหัน กับตอนที่เลี้ยวซ้ายบนโค้งทางลงเขาโดยที่ไม่ได้ชะลอความเร็วมากพอ ทำให้หลุดไปเลนสวน ถ้ามีรถขับมาพอดีคือชนแน่ๆ…
เราอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ มอเตอร์ไซค์ไม่มีประโยชน์ในเมืองเลย จะไปซูเปอร์ก็ขี่จักรยาน 5 นาทีถึง ไม่ต้องสวมหมวกกันน็อก จอดตรงไหนก็ได้ ไปสถานีก็ใช้จักรยาน 7 นาทีถึง มีที่จอดให้วันละ 100 เยน ถ้าใช้มอเตอร์ไซค์ หน้าสถานีไม่มีที่จอด แถมรถก็ติดมาก ถึงช้ากว่าเยอะ คือเพิ่งรู้ว่าญี่ปุ่นไม่ค่อยมีที่จอดมอเตอร์ไซค์ใหญ่ (> 50cc) ให้ก็ตอนนี้นี่แหละ
ด้วยข้อเสียที่เล่ามา ประกอบกับความจริงที่ว่าเราขับตามรอยที่ท่องเที่ยว Yurucamp เกือบหมด ไม่มีสถานที่ที่อยากถ่อขับรถไปเองเพื่อเที่ยวอีก เราจึงตัดสินใจขายมอเตอร์ไซค์นี้ทิ้ง ไม่ปล่อยให้มันเกาะกินเงินของเราอีกต่อไป สิริยอดค่าใช้จ่ายโปรเจ็กต์นี้ รวมมากกว่า 500,000 เยน… เป็นการซื้อความลำบาก ซื้อประสบการณ์ที่แพงมาก
แต่ถามว่าเสียใจไหม ก็ไม่ การขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวครั้งแรกๆ ทำให้ใจเราพองโต เบิกบาน ตื่นเต้นเพราะได้งานอดิเรกใหม่ ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้มาน่าจะเป็นปีแล้ว รู้สึกเหมือนหัวใจกลับเป็นเด็กได้อีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้มีหน้าที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ทำงานหาเงินกินข้าวเข้านอน ทำให้รู้สึกว่าการตามหาสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้หัวใจสนุกสนานนี่แหละ คือการใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ที่แท้จริง
ภูเขาไฟฟูจิกับอ่าว Suruga วิวจากป้ายบัส Nagaisaki Junior High School
สรุป การซื้อมอเตอร์ไซค์มาขี่เที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ สอนให้เรารู้คุณค่าชีวิตมากขึ้น อะไรที่อยากทำและพอทำได้ ก็รีบๆ ทำก่อนที่สังขารและ passion จะดับหายไป ทำแล้วไม่ชอบก็รีบๆ เลิก ไม่ยึดติดกับมัน เพื่อชีวิตที่อิสระและมีความสุขยิ่งกว่าวันวาน ว่าแล้วก็หางานอดิเรกถัดไปดีกว่า ขอแบบที่ไม่ใช้เงินเยอะนัก ทำอะไรดี…?
]]>ผมได้วันหยุดยาว 9 วันช่วง Silver Week ของญี่ปุ่น เลยลองแพลนทริปยาวเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกดู เป็นทริป 6 วัน 5 คืนจากโตเกียว บทความนี้จะเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวครั้งนี้ครับ
เส้นทางการวิ่งทั้งหมด วิ่งวนทวนเข็มนาฬิกา ระยะทางรวม 1,333 กิโลเมตร
ทริป 6 วันนี้ ที่จริงเป็นการตามรอยอนิเมะไปซะ 3 วัน (ถ้าไม่มีการตามรอยอนิเมะคงไม่ได้แพลนทริปนี้ 555) เดินทางวันที่ 20 กันยายนถึง 26 กันยายน 2021
เส้นทางวิ่งคร่าวๆ คือ
ออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ Tricity 155 บรรทุกของสำหรับตั้งแคมป์เต็มที่
ไต้ฝุ่นเพิ่งพัดผ่านญี่ปุ่นไปเมื่อหนึ่งวันก่อนเที่ยว วันนี้ฟ้าเลยใสมากๆ เห็นภูเขาไฟฟูจิชัดเจน
ถนนที่เชื่อมเหนือใต้จากฝั่งตะวันตกของภูเขาไฟฟูจิ มองเห็นฟูจิตลอดข้างทางที่วิ่ง อดหยุดแวะถ่ายรูปไม่ได้ มีจุดให้จอดรถถ่ายรูประหว่างทางเยอะมากกกกก
Fumotoppara แคมป์ที่รินจัง (Yurucamp) ไปตั้งแคมป์คนเดียวแล้วนาเดชิโกะจังตามไปทำนาเบะให้ รายละเอียดภาพในเรื่องดูได้ที่เว็บการท่องเที่ยวจังหวัดยามานาชิ
อุปกรณ์ตั้งแคมป์ฉบับมือใหม่
ตั้งเตนท์ข้างมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ฟ้าใสกิ๊ง เห็นฟูจิชัดเจน คนส่วนใหญ่ขับรถเข้ามาตั้งแคมป์กัน มอเตอร์ไซค์มีเป็นส่วนน้อย
แสงสีแดงยามเย็น
ภูเขาไฟฟูจิกับพระจันทร์เต็มดวง สวยตราตรึงใจมากๆ ต้องมานอนแคมป์กลางทุ่งหญ้าแบบนี้ถึงจะได้เห็น คุ้มค่ากับความลำบากครับ
อาหารมื้อเย็น ข้าวสวยกับอาหารสำเร็จรูป แค่ต้มก็กินได้ แต่ได้บรรยากาศดีจากแสงตะเกียงมาเพิ่มความอร่อย 10 เท่า
อนึ่ง ที่ตั้งแคมป์นี้อยู่ที่ความสูง 830 เมตร ตอนกลางวันแดดร้อนเปรี้ยง ส่วนตอนกลางคืนก็หนาวเหน็บ วันที่ผมนอนเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ตกกลางคืนข้างในเตนท์อากาศราว 16 องศา แต่ตอนเช้าตีสี่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นคือ 12 องศา หนาวจนตื่นเลย…
วันที่สองเริ่มต้นด้วยการดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือภูเขาไฟฟูจิ สิทธิพิเศษของคนตั้งแคมป์เท่านั้น วิวนี้ดูได้จากฝั่งตะวันตกเท่านั้น ดังนั้น สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ฝั่งตะวันออกของภูเขาอย่าง Kawaguchi Lake / Yamanaka Lake จะไม่เห็นวิวแบบนี้
อุณหภูมิตอนเช้า
ขับขึ้นเหนือไปราวๆ 100 กิโลเมตร ก็ถึงสวนสาธารณะที่มองเห็น Suwa Lake ได้ทั่ว สัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่ของทะเลสาบที่เป็นโมเดลของเรื่อง Kimi no Na wa ได้เลย
ถนนวิ่งผ่าภูเขาที่สวยอย่างถึงที่สุด มองเห็นทั้งวิวภูเขาถัดไปและวิวเมืองจากที่สูง ควรค่าแก่การขับรถชมวิวยิ่งนัก
ปราสาทมัตสึโมโตะ ภาพของเช้าวันถัดไป แวะมาเมืองนี้ก็ต้องถ่ายซักรูปหนึ่ง
ทางขับจาก Matsumoto ไป Okuhida เป็นทางบนภูเขา คดเคี้ยวสนุกสนานมาก
เรียวกัง+ออนเซ็น หรูหราใช้ได้ในราคาย่อมเยา (8,800 เยนรวมมื้อเช้าเย็น)
ห้องนอนญี่ปุ่นแท้ๆ เปิดหน้าต่างมองไปเห็นสวนญี่ปุ่นชวนสงบใจ
อาหารมื้อเย็นบุฟเฟต์ กินให้หนำใจ
สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของแอเรีย Okuhida ห้ามรถยนต์ส่วนตัวขับขึ้นไป จึงต้องนั่งบัสไปเท่านั้น ค่ารถบัสไปกลับ 2,090 เยน ตอนนี้ใบไม้ยังสีเขียวอยู่ ถ้าไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแล้วคงจะสวยจับใจมากๆ
สะพานไอคอนของ Kamikochi ถ่ายคู่กับแม่น้ำ Azusa สีสวยจริงๆ
เดินประมาณหนึ่งชั่วโมงจาก Kappa Bridge ก็จะถึงจุดวิวสวยอีกจุด น่าเสียดายที่เมฆครึ้มๆ ฝนทำท่าจะตก ภาพเลยไม่ค่อยสวย + เหนื่อยกับการเดินมาก จะเดินต้องขาฟิตพอควรแหละ
ทางเดินไป Myojin Bridge เดินง่าย เป็นเนินนิดๆ แต่ไม่ถึงกับต้องปีนเขา ถ้าใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวยมากๆ ตลอดเส้นทาง
วันนี้เป็นวันที่ตื่นเต้นที่สุดในทริป เพราะจะได้ไปหมู่บ้านต้นแบบ Hinamizawa ในเรื่อง Higurashi no Naku Koro ni ซึ่งตอนนี้กำลังฉายอนิเมะภาค Sotsu อยู่พอดี ดูทุกสัปดาห์ อยากไปเยี่ยมสถานที่จริงมาก
เลือกขี่ฝ่าภูเขาไป ถนนสาย 360 ทางแคบคดเคี้ยวขึ้นลงเขา รถสวนกันไม่ได้ ไม่แนะนำให้ขับรถไปอย่างยิ่ง
Shiragawago จากจุดชมวิว ในหัวคือมองว่าที่นี่เป็นหมู่บ้าน Hinamizawa ไปแล้ว เป๊ะมาก
หลังคาบ้านที่นี่ทำด้วยฟางและหญ้าอัดแน่น เรียกว่า Gassho-zukuri เป็นวิธีสร้างบ้านแบบญี่ปุ่นโบราณ หมู่บ้านนี้ยังคงรักษามรดกนี้ไว้จนถึงวันนี้ หลายบ้านมีคนอยู่อาศัยจริงๆ
บ้านริกะจัง ตรงเนินเดินขึ้นไปยังจุดชมวิว
บ้านซาโตโกะ อยู่ถัดๆ กันไป
เนินเขา USODA!!! อันลือชื่อ
ศาลเจ้า Furude เอ้ย ศาลเจ้า Shirakawa Hachiman
ไปถึงช่วงที่ต้นข้าวออกรวง กำลังจะเก็บเกี่ยว ทุ่งนาเลยเป็นสีเหลืองทองสวยงาม ถ้าจะไปถ่ายวิวหน้าร้อนในเรื่องฮิกุราชิ ก็ต้องไปช่วงเดือน 6-9 นี้ แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากไปดูวิวหน้าหนาวด้วย คงสวยมากๆ เหมือนกัน
สถานี Gero เมืองออนเซ็นของกิฟุ โรงแรมเรียวกังมากมาย
พักที่ Boukansen โรงแรมญี่ปุ่นแท้ แช่น้ำร้อนกินอาหารดีๆ ฟิน (12,500 เยนรวมอาหารเช้าเย็น)
ในที่สุดก็จะได้ลงจากภูเขา กลับสู่ที่ราบซักที อากาศอุ่นขึ้นอย่างชัดเจน
ปราสาทกิฟุ ตั้งอยู่บนภูเขา ต้องขึ้นโรปเวย์ไป มองเมืองกิฟุ-นาโกย่าที่ขยายไปสุดลูกหูลูกตา
ย่านเมืองเก่าข้างปราสาทกิฟุ ให้อารมณ์เกียวโตนิดๆ มีร้านขายของจิปาถะญี่ปุ่น น่าเดินเล่นอยู่
เมืองที่ผมเคยอยู่มาสองปีครึ่ง มารำลึกความหลัง หาของกินเดินกินเล่น
นกพิราบกับวัด Osu Kannon เป็นของคู่กันเสมอ
แมวกวักสัญลักษณ์เมือง
ชิงช้าสวรรค์ของ Sunshine Sakae ที่ตั้ง SKE48 Theater เมื่อก่อนปั่นจักรยานมาดูเธียเตอร์บ่อยมาก 555
วันตามรอย Yurucamp อีกหนึ่งวัน เป็นวันที่เดินทางสนุกที่สุดในทริปเลยก็ว่าได้ ช่วงเช้าอยู่รอบๆ ทะเลสาบ Hamanako ช่วงบ่ายออกเดินทางไปทางตะวันออกจนถึงแหลม Omaezaki จุดใต้สุดของจังหวัด Shizuoka
สวนสาธารณะริมทะเลที่มองเห็นสะพาน Hamana Ohashi กับ Torii กลางน้ำ เป็นโมเดลที่ท่องเที่ยวที่โผล่ในเรื่อง เลยมีป้ายตั้งบอกให้รู้ว่าสาวๆ นักแคมป์ได้ยึดสถานที่นี้แล้ว
สะพานทางรถไฟ เป็นจุดดักถ่ายรถไฟวิ่งได้ ถ้าจังหวะดีๆ ก็จะมีชินกันเซ็นวิ่งผ่านด้วย
สถานีเล็กๆ ทิศเหนือทะเลสาบ Hamanako โดนยึดครองโดยสมบูรณ์แบบ รถไฟที่วิ่งขบวนละคันก็ร่วมมือกันส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดสกรีนลายยุรุแคมป์เต็มยศ
ร้านข้าวหน้าปลาไหลข้างสถานี แฟนเรื่อง Yurucamp มารอกินกันเต็ม ผมไปจองคิวสิบโมงนิดๆ ได้กิน 11:30 หลังร้านเปิดราวครึ่งชั่วโมง
ข้าวหน้าปลาไหลไซส์ใหญ่ 4,100 เยน พ่อครัวสับปลา ย่างให้เห็นกันตรงหน้า อร่อยเลิศล้ำ
กระโดดมาเมือง Iwata ทางตะวันออกของ Hamamatsu กับศาลเจ้าสุนัข คนที่มีสัตว์เลี้ยงก็จะมาขอพรให้สัตว์เลี้ยงตัวเองอายุยืนนานกันที่นี่
แคมป์ที่โผล่ในเรื่อง Yurucamp ไม่ได้พักเลยเข้าไปข้างในไม่ได้ แต่วิวรอบๆ ก็สวยมาก
ถนนเลียบแม่น้ำกับกังหันลม ลมเย็นสบาย ขับรถฟินสุดๆ
ปากแม่น้ำเป็นทะเล รับลมทะเลคู่กับลมแม่น้ำไปพร้อมๆ กัน
จุดสุดท้ายของทริป ประภาคารที่ตั้งอยู่ ณ แหลม Omaezaki จุดใต้สุดของจังหวัด Shizuoka
วิวทะเลยามพระอาทิตย์ตกดินสวยจับใจ
ป้ายบอกพิกัดใต้สุด บอกให้รู้ว่าเราเดินทางมาไกลขนาดไหนแล้ว จากนี้ก็ขึ้นทางด่วนขับกลับโตเกียวยาวๆ สามชั่วโมง
ก็จบไปแล้วสำหรับทริปเดินทางคนเดียว 6 วันเต็ม มีแต่ที่ที่ไม่เคยไปทั้งนั้น ต้องขอบคุณอนิเมะ Higurashi no Naku koro ni และ Yurucamp ที่นำสถานที่จริงมาเป็นฉาก เราเลยมีไฟออกเดินทางขนาดนี้
สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ถ้าไปเฉยๆ ก็แค่ไปถ่ายรูป ดูวิวที่ถูกเตรียมไว้ แต่พอเป็นการตามรอยอนิเมะ ก็เหมือนไปตามหาขุมทรัพย์ หาจุดที่โผล่ในเรื่อง เลยรู้สึกสนุกกว่ากันมากๆ ประทับใจ Shirakawago สุดเพราะได้เห็นฉากที่คุ้นเคยจากอนิเมะที่เคยดูตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน (แก่จังเรา…) แค่ได้เดินในหมู่บ้านนั้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในโลกของฮิกุราชิแล้ว ดีที่ไปตอนกลางวัน กลางคืนคงหลอน กลัวโดนปังตอสับแน่ๆ 555
ทริปนี้เริ่มต้นด้วยการตามรอย Yurucamp และจบด้วย Yurucamp เช่นกัน วันแรกไปตั้งเตนท์ นอนแคมป์ครั้งแรกที่ญี่ปุ่น สัมผัสถึงความลำบากและความไม่สะดวกหลายๆ อย่าง แต่พอได้มองพระจันทร์เต็มดวงกับพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าสวยๆ กลางทุ่งหญ้ากว้างขวางใต้ฟ้าโปร่ง ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง นี่สินะเหตุผลที่คนชอบตั้งแคมป์กัน เพราะจะได้สัมผัสธรรมชาติที่หาไม่ได้ในเมืองอย่างนี้นี่เอง ส่วนการตามรอยสถานที่ที่ Hamamatsu ก็สนุก ได้ขับเลียบทะเลสาบ ขับตามหาวิวในเรื่อง ให้ความรู้สึกว่านี่คือการเดินทางอันมีเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นอย่างแท้จริง
สำหรับการตามรอยอนิเมะทั้งสองเรื่อง ยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกเยอะที่ไม่ได้เขียนในบทความนี้ ไว้จะทำคลิปหรือไม่ก็เขียนบทความแยกอีกทีครับ มีจุดเล็กๆ ที่ทำให้แฟนๆ ตื่นเต้นเพียบเลย ชอบการใช้อนิเมะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นอย่างนี้จริงๆ!
แคมป์ปิงคาร์มีหลายประเภท หลายขนาด ตามวัตถุประสงค์การใช้งานและจำนวนคนที่นอนได้ อ้างอิงจากโบรชัวร์งาน YOKOHAMA CAMPING CAR SHOW 2021 ที่ผมไปมาวันนี้ แบ่งประเภทได้ตามนี้
ประเภทรถ Camping Car
ทางเข้า YOKOHAMA CAMPING CAR SHOW 2021
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น พอดีมีงานโชว์แคมป์ปิงคาร์จัดอยู่ที่โยโกฮาม่าวันนี้ ผมเลยแวะไปดูให้เห็นขนาด เห็นว่าข้างในน่าอยู่น่าใช้อย่างไรก่อน และก็ดูราคาไปด้วย เห็นของจริงแล้วมีแต่กิเลส แต่เห็นราคาแต่ละคันแล้วก็หยุดแผนการไว้ก่อนดีกว่า…
Klein 108 Alle Kei Camper
ตัวอย่างราคารถแคมป์แต่ละประเภท อ้างอิงจาก TOWA MOTORS บูธที่ผมถูกใจดีไซน์รถ
นี่เป็นแค่ราคาออพชั่นพื้นฐาน ถ้าอยากได้ facility ดีๆ เพิ่มก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก โดยเฉพาะระบบไฟ, Solar Panel ฯลฯ เป็นออพชั่นเสริมให้เสียเงินเพิ่มเพียบ
สำหรับผมที่อยากได้รถแคมป์มาใช้ขับคนเดียวลุยญี่ปุ่น ที่อยากได้ก็คงเป็น Zelt NV ที่ใช้ Wagon เป็นเบส เพราะขนาดไม่ใหญ่เกินแต่ก็ไม่แคบเกินไป ส่วน Kei Camper ดูแล้วแคบไปหน่อยหากจะเอามาใช้นั่งทำงาน Remote Work ตอนกลางวันด้วย ถึงราคาจะถุกกว่ากันร่วมล้านเยนก็เถอะ
ลองคำนวณค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบดูระหว่าง Kei Camper กับ Van Conversion
รุ่นรถ | Zelt NV | Klein 108 Alle |
---|---|---|
ประเภท | Van Conversion | Kei Camper |
ราคารถ | ¥3,663,000 | ¥2,772,000 |
ค่าใช้จ่ายรายปี | Zelt NV | Klein 108 Alle |
---|---|---|
ค่ารถยนต์ อายุการใช้งาน 10 ปี | ¥366,300 | ¥277,200 |
ภาษีรถ | ¥36,000 | ¥5,000 |
ภาษีน้ำหนัก | ¥24,600 | ¥6,600 |
ประกันบังคับ | ¥9,257 | ¥10,155 |
ประกันเสริม | ¥60,000 | ¥40,000 |
Shaken (การตรวจรถตามกฎหมายทุกสองปี หารสอง) | ¥50,000 | ¥40,000 |
ที่จอดรถ เดือนละ 8800 เยน | ¥105,600 | ¥105,600 |
ค่าบำรุงต่างๆ | ¥100,000 | ¥80,000 |
ค่าน้ำมัน 10000 กิโล 1000 ลิตร | ¥150,000 | ¥150,000 |
รวมค่าใช้จ่ายรายปีคร่าวๆ | ¥901,757 | ¥714,555 |
คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือน | ¥75,146 | ¥59,546 |
ตัวค่าประกันเสริม, Shaken, ค่าบำรุงไม่ค่อยมีข้อมูลอ้างอิงเท่าไร เลยใส่ตามเซนส์ไป แต่ยังไงก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถนี้สามารถเอาไปเช่าห้องอยู่เพิ่มอีกห้องได้เลย… พอคิดอย่างนี้แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็น luxury product จริงๆ และพอเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของรถ Van กับ Kei แล้วปรากฏว่าต่างกันไม่มากนัก (+25%) เพราะฉะนั้นถ้าจะซื้อจริงๆ คงเอา Van มาเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ น่าจะใช้งานสะดวกสบายกว่าเยอะ
Autoone Kei Camper
รถแคมป์ที่ญี่ปุ่นมีมากมายหลายเจ้า ต่างออกแบบดีไซน์มาให้น่าเป็นเจ้าของสุดๆ ยิ่งเกิดวิกฤติโควิด-19 ยิ่งทำให้รถแคมป์บูมขึ้นมาเพราะเป็นทางเลือกในการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนได้ ไว้ถ้าผมทำใบขับขี่รถยนต์ที่ญี่ปุ่นได้เมื่อไรก็คงจะไปลองเช่าขับดู ส่วนจะซื้อหรือไม่นั้นก็ค่อยคิดหลังจากนั้นละกัน ค่าใช้จ่ายยังไงก็ไม่ใช่น้อยเลย ซื้อมาคือไม่ได้เก็บเงินไปอีกยาวๆ T_T
]]>ครั้งนี้ผมไปตามสถานีและที่ท่องเที่ยวใหญ่ๆ ไม่ได้แวะนอกทางนักดังนี้
ระยะทางวิ่งตามรอยแค่ราวๆ 25 กิโลเมตร ใช้เวลาไม่มาก แต่การเดินทางไปให้ถึงเมือง Minobu ค่อนข้างใช้เวลาเยอะ เพราะถ้าไปจากโตเกียวจะต้องอ้อมภูเขาไฟฟูจิไป หรือถ้าใช้รถไฟ ก็จะต้องนั่งจากสถานี Kofu หรือ Shizuoka ใช้เวลาราวๆ สามชั่วโมงจากโตเกียว ส่วนรถไฟ Local ที่วิ่งหยุดระหว่างทางก็วิ่งแค่ชั่วโมงละคัน ดังนั้นถ้าจะมาเที่ยวตามรอยโดยไม่มีรถ ก็แนะนำให้พกจักรยานมาแล้วขี่เที่ยว จะสะดวกกว่ามากครับ
รูทการเที่ยว ขับจากเหนือลงใต้
ตำแหน่งเมือง Minobu อยู่ทางตะวันตกของภูเขาไฟฟูจิ
ไฮไลท์ของทริปนี้คงไม่พ้นโรงเรียน Shimobe โมเดลของโรงเรียน Motosu ในเรื่อง เป็นโรงเรียนเก่า ปัจจุบันยุบแล้วแต่ยังมีอาคารเหลืออยู่ ข้างในอาคารมีจัดสแตนด์ตัวละคร กับอุปกรณ์แคมป์โชว์ไว้ ให้บรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวระดับหนึ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าบริเวณโรงเรียนได้แต่ห้ามเข้าอาคาร ได้แค่ถ่ายรูปผ่านกระจก มีป้ายชี้บอกทางจากสถานีเลย เดินเจอป้ายทุกๆ 200 เมตร ไม่มีหลงแน่นอน รายละเอียดเว็บออฟฟิเชียล
โรงเรียน Shimobe ต้นแบบโรงเรียน Motosu
สแตนด์คาแรคเตอร์ยุรุแคมป์
สถานี Kai-Tokiwa
สถานี Minobu เป็นสถานีใหญ่สุดของเมือง และเป็นจุดที่ผู้คนลงเพื่อเดินทางไปเที่ยวภูเขา Minobu-san สถานีนี้มีร้านขายของฝากที่ครึ่งนึงขาย goods ของยุรุแคมป์ มีมอเตอร์ไซค์รินจังตั้งโชว์ ในสถานีมีป้ายโปรโมต ห็นแล้วยังกับเมืองโดนยึดไปแล้วเลย ก็ถือเป็นวิธีเรียกคนมาเมืองที่ว้าวมาก พูดตามตรงคือเมืองนี้เดินทางยาก ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ หรือกิจกรรมแปลกๆ หน้าสถานีก็เงียบสนิท ถ้าไม่มีการโปรโมตแบบนี้คงไม่มีใครคิดไปแน่ๆ ถือเป็น collaboration ที่ประสบความสำเร็จมากจริงๆ ถ้าชอบเรื่องนี้ก็แนะนำให้หาโอกาสไปเที่ยวกันซักครั้งครับ เอ็นจอย slow life บ้านนอกได้เต็มที่เลย
มอเตอร์ไซค์รินจัง หน้าร้านขายของฝากสถานี Minobu
อนึ่ง ก่อนไปเมือง Minobu ผมวิ่งไปเมือง Hokuto ตามรอยเรื่อง Super Cub มาก่อน ถ้ามีเวลาก็จะตัดคลิปมาอัพครับ
]]>